วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Action Learning



Action Learning เป็นกระบวนการที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะสิ่งที่ทุกองค์กรแสวงหาอยู่เสมอคือ คำตอบของคำถามที่ถูกต้อง องค์กรต้องมีการเปลี่ยนแปลง หากหวังที่จะได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างแต่ยังคงทำเหมือนเดิมก็อย่างหวังว่าผลลัพธ์จะดีขึ้น ดังคำกว่าวที่ว่า "ทำเหมือนเดิม ได้น้อยกว่าเดิม" เน้นนะครับได้น้อยกว่าเดิม และไม่มีทางได้เท่าเดิมครับมีแต่น้อยลง

แล้ว Action Learning เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรด้วย ต้องเล่าอย่างนี้ครับ ที่จะแชร์ในวันนี้ได้รับมาจาก คุณ Peter Cauwelier มาแบ่งปันประสบการณ์ที่ PIM เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 และผมก็มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็ต้องบอกเลยว่าถึงกับหลงไหลเลยครับ ถึงจะไม่ใช่เต็มรูปแบบของ Action Learning แต่สิ่งที่ได้รับมาก็มีคุณค่าในตัวของมันเองเลยนำมาเล่าต่อครับ

Action Learning คือหลักการเรียนรู้โดยการตั้งคำถาม หาทางออก หาทางพัฒนา หาทางแก้ไขปัญหา หาแนวทางการทำงาน หาแนวทางการเรียนรู้

การเรียนรู้มีทฤษฎีอยู่อย่างหนึ่งคือ 70 - 20 - 10 หมายถึงความรู้ที่มาจากการเรียนการสอนนั้นมีแค่ 10% อีก 20% ของการเรียนรู้มาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้อื่น และสุดท้าย 70% มาจากการลงมือทำงานจริงซึ่ง Action Learning จะเป็นส่วนของการเรียนรู้ในการทำงานจริงหรือก็คือ 70% ของการเรียนรู้ ที่คุณจะได้อ่านในเนื้อหานี้จะมีส่วนของการเรียนรู้ 10% เท่านั้นถ้าเอาเรื่องที่อ่านนี้ไปพูดคุยก็คือการเรียนรู้อีก 20% และสุดท้ายถ้านำการเรียนรู้แบบ Action Learning ไปใช้ในการทำงานก็คือการเรียนรู้ในส่วนที่มากที่สุดคือ 70% นั้นเอง

ใครต้องใช้ Action Learning คนที่ต้องใช้งานจริงก็คือคนที่ยังหายใจอยู่ หมายถึงทุกคนนะละครับ เพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมีอยู่อย่างคือ "ความรู้" และ "การเรียนรู้" ดูผ่านสองคำนี้ดูจะเหมือนกัน แต่ ความรู้กับการเรียนรู้ต่างกันมากครับ ความรู้คือสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วเช่น รู้ว่าโลกกลม รู้ว่าหุงข้าวยังไง รู้ว่าเอกสารต้องเก็บที่ไหน ฯลฯ แต่การเรียนรู้คือ คุณสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง ตระหนักรู้ด้วยตัวคุณเอง เหมือน วิลสมิท จากภาพยนต์เรื่อง The Pursit of Happyness ตอนสัมภาษณ์งาน วิลสมิทโดนถามคำถามที่เขาไม่รู้คำตอบ เขาก็ตอบออกมาตรงๆว่าเขาไม่รู้คำตอบแต่รู้วิธีได้มาซึ่งคำตอบ ถ้าตอนนี้ถามว่าคุณอยากได้คนร่วมงานแบบไหนระหว่าง คนที่รู้คำตอบในตอนนี้ กับคนที่รู้วิธีได้มาซึ่งคำตอบในอนาคต มันเหมือนกับถามว่าคุณอยากทำงานกับคนที่ รู้วิธีทำงานหรืออยากทำงานกับคนที่อยากทำงาน

รู้วิธีทำงานเป็นความรู้ แต่อยากทำงานคือ มีแรงผลักดันจากภายในถึงวันนี้จะไม่รู้คำตอบแต่อยากที่จะแสวงหาคำตอบเรียกได้ว่า พัฒนาตนเองอยู่เสมอนั้นเอง

Action Learning คือการแสวงหาคำตอบผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดยการตั้งคำถาม

พลังของคำถาม ทุกคำถามมีพลังและพลังย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละคำถาม โดยปกติคนเราเมื่อตั้งคำถามส่วนใหญ่จะเป็นคำถามปลายปิดที่ให้พลังงานน้อยมาก เช่น ทานข้าวหรือยัง (ทานแล้ว/ยังไม่ทาน) ไปเที่ยวด้วยกันไหม (ไป/ไม่ไป) เหมือนจะเป็นคำถามที่ไม่ต้องใช้พลังงานในการตอบเลยใช่ไหมละครับ ขยับพลังงานขึ้นไปหน่อยเช่น ถามว่า อยากไปเที่ยวที่ไหน ต้องเริ่มใช้พลังงานในการคิดขึ้นมาหน่อยแล้วเห็นไหมครับ ระดับของคำถามที่อาจารย์ Peter เสนอมามีตัวอย่างดังนี้ครับ

           
จากรูปที่ท่านเห็นนั้น ลองสังเกตุดูครับ คำถามที่พลังน้อยที่สุดนั้นมักเป็นคำถามที่เราไม่ต้องใช้ทักษะในการคิดมากนั้น ส่วนคำถามที่ใช้พลังงานสูงๆนั้นมักเป็นคำถามที่จะต้องใช้พลังงานในการคิดเยอะมาก ดังนั้นการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามที่ทำให้เราคิดเยอะๆ

Albert Einstein กล่าวว่า "ถ้าฉันมีเวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับการแก้ไขปัญหา และชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับทางออกของปัญหานั้น ฉันจะใช้เวลา 55 นาทีแรกเพื่อหาคำถามที่เหมาะสมที่จะถาม และเมื่อมีคำถามที่เหมาะสมแล้ว ฉันจะสามารถแก้ไขปัญหาได้น้อยกว่าห้านาที"

ดังนั้นเมื่อเราจะใช้กระบวนการ Action Learning เราต้องฝึกตั้งคำถามครับ โดยคำถามต้องเป็นคำถามปลายเปิดและมีพลังมากเพียงพอให้คนตอบเกิดกระบวนการคิดด้วย

กิจกรรมตั้งคำถาม
ลองฝึกตั้งคำถาม โดยการถามคนข้างๆเรา หรือใครก็ได้ครับ วิธีการคือ ถามคำถามนำแล้วถามต่อโดยมีความเกี่ยวข้องกับคำตอบที่ได้รับต่อไปอีก 7 คำถามไม่ร่วมคำถามตั้งต้น ตัวอย่างคำถาม
- ปีที่ผ่านมา อะไรคือสิ่งที่คุณภาคภูมิใจมากที่สุด
กติกา ผู้ถามต้องถามต่อไปอีก 7 คำถาม โดยคำถามต้องอ้างอิงและเชื่อมต่อกับคำตอบล่าสุดจากผู้ตอบและเป็นคำถามปลายเปิดเท่านั้น ถ้ามีคำถามปลายปิดให้กลับไปเริ่มต้นถามใหม่ ถ้าคำถามไม่ได้อ้างอิงหรือเชื่อมต่อกับคำตอบล่าสุดให้เริ่มใหม่ครับ

การฝึกนี้ต้องใช้เวลาและจำนวนครั้งมากๆ เพราะเรามักติดกับคำถามปลายปิดและเวลาในการสนทนาที่น้อยมากในโลกปัจจุบัน แต่ลองเปิดใจดูและหาเวลาตั้งคำถามกับคนที่อยู่รอบข้างเพื่อฝึกกระบวนการ Action Learning รับรองครับว่าคุ้มค่าการเสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง

ทักษะการฟัง
อีกสิ่งที่สำคัญมากๆของการเรียนรู้คือ ทักษะการฟังครั้บเพราะเมื่อเราต้องคำถามแล้วนั้น ก็แน่นอนว่าเราก็ต้องฟังคำตอบด้วยและปัญหาจะเกิดตรงนี้ละครับ เพราะคนส่วนใหญ่่มักไม่ฟังคำตอบ คนส่วนใหญ่ชอบพูดพูดในสิ่งที่ตนเองคิดมักไม่ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น ดังนั้นกระบวนการเรียนรู้ก็จะไม่เกิดครับ เพราะต่างคนต่างพูดความคิดเห็นของตนเอง ไม่ฟังผู้อื่น ดังนั้นทักษะการฟังจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญโดยมีกระบวนการฟังดังนี้ครับ

1. ใช้หูฟัง ต้องแน่ในว่าหูเรากำลังฟังคนที่ตอบเราจริงๆ
2. ใช้ตามองเพื่อให้ผู้ที่ตอบคำถามเราสามารถรับรู้ได้ว่ากำลังฟังอยู่ เราควรสบตากับผู้ที่เรากำลังฟังเพื่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการฟังนั้นเอง
3. จดจ่อกับเรื่องที่กำลังฟังอย่าใจลอยออกไปข้างนอกเพราะจะไม่รู้เรื่องที่กำลังฟังอยู่ได้นั้นเอง
4. ใช้ใจรับรู้ความรู้สึกของเรื่องที่เรากำลังรับฟัง ประมาณอินไปกับเรื่องแต่อย่าหลงไปกับเรื่องที่ฟัง
5. ใช้สมองคิดตามเรื่องที่เราฟังเพราะถ้าคนตั้งคำถามไม่คิดแล้วจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างไรละครับ ใช่ไหมละครับ

ก็มี 5 อย่างหลักจากนั้นก็อยู่ที่การฝึกฝนให้เกิดความชำนาญเท่านั้นละครับ

องค์ประกอบของ Action Learning
องค์ประกอบของ Action Learning ในที่นี้ผมนำมาจาก PPT ของอาจารย์ Peter เพื่อสร้างให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่าจะนำแนวทาง Action Learning ไปใช้งานอย่างไรต่อ องค์ประกอบของ Action Learning ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบดังนี้

1. Problem or Challenge (ปัญหาหรือความท้าทาย)
การพิจารณาปัญหาที่จะใช้กระบวนการ Action Learning เข้ามาแก้ไขปัญหาและสร้างกระบวนการเรียนรู้ จะต้องมีลักษณะดังนี้ คือ 1. เป็นปัญหาจริงๆและมีความสำคัญกับองค์กรหรือตัวบุคคล 2. ยิ่งปัญหานั้นมีความซับซ้อมมากเท่าไรยิ่งมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้และมีคุณค่าอย่างมากในการหาคำตอบ 3. ปัญหาที่ว่าต้องสามารถแก้ไขได้และอยู่ภายใต้อำนาจและความรับผิดชอบ เช่น พนักงานขายสินค้าจะแก้ไขปัญหารถติดในกรุงเทพ คงเป้นไปไม่ได้และไม่มีอำนาจรับผิดชอบ แต่ถ้าพนักงานขายแก้ไขปัญหาการใช้สินค้าไม่ถูกวิธีของลูกค้าน่าจะมีความสอดคล้องมากกว่าและสามารถเกิดกระบวนการเรียนรู้ได้

2. Group (ทีม)
ในกระบวนการ Action Learning เพื่อแก้ไขปัญหาและการเรียนรู้ กลุ่มคนที่มาร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่จะอยู่ประมาณ 4 - 8 คน และต้องเป็นคนที่มาจากหลากหลายกลุ่มเพื่อมุมมองที่หลากหลายต่างก็สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่กันละกัน จะคุ้ยเคยหรือไม่คุ้นเคยกันก็ไม่เป็นเป็นหา เพราะเรามาร่วมกันเพื่อช่วยกันสร้างคำถามที่ทรงพลังในการเรียนรู้นั้นเอง

3.  Questioning and Reflecting (การตั้งคำถามและการสะท้อนความคิด)
ทีมที่มารวมกันต้องมาช่วยกันตั้งคำถามที่แตกประเด็นจากมุมมองที่หลากหลายได้ คว่ามสำคัญของการตั้งคำถามคือการที่ทีมมีคำถามเดียวกันเหมือนกันและช่วยกันหาคำตอบ เสมือนการมีเ้าหมายเดียวกันและมีความชัดเจนเข้าใจร่วมกันได้ และการช่วยกันต้องสร้างคำถามที่ทำให้คนคิด เป็นคำถามปลายเปิดและทำให้คิด เช่น มากเท่าไร ?, ใคร ?, ที่ไหน ?, เรามีทางเลือกอะไรบ้าง ?, ใครช่วยที ?, คุณคิดถึงเรื่องนี้อย่างไร ?, เรื่องนี้สำคัญอย่างไร ?, อะไรจะเกิดขึ้นถ้า ? ก็เป็นตัวอย่างนิดหน่อยของการตั้งคำถาม เพื่อให้เกิดคำถามที่ทรงพลังจริงๆ เราก็ต้องฝึกฝนครับ

4. Action (ลงมือทำ)
เมื่อเราตั้งคำถามแล้วได้คำตอบก็ต้องลงมือทำ การลงมือทำต้องแบ่งกันให้ชัดเจน ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความสับสนว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ได้ เมื่อลงมือทำแล้วให้ทีมกลับมาคุยกันเพื่อดูปัญหาและแนวทางแก้ไข ทุกครั้งที่กลับมาคุยกันก็ต้องเริ่มด้วยการตั้งคำถามด้วยทุกครั้ง

Reg Revans กล่าวว่า "ไม่มีการเรียนรู้ที่ไม่มีการปฏิบัติ และไม่มีการปฏิบัติ ที่ไม่มีการเรียนรู้"
ถ้าคุณเรียนขับรถในห้องเรียนแต่ไม่ฝึกขับก็คงขับไม่เป็น และในการทำงานทุกวันเราเคยถามตนเองหรือไม่ว่าในแต่ละวันเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง

5. Learning (การเรียนรู้)
ทีมที่เข้ามาทำงานร่วมกัน พนักงานขององค์กร ต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเอง ของทีม เพราะถ้าแต่ละคนไม่คิดที่จะเรียนรู้ ก็ไม่เกิดการพัฒนาดังนั้น ทุกคนต้องรับผิดชอบเพื่อเรียนรู้ให้เกิดการพัฒนา จากนั้นเราต้องมีการกำหนดเวลาที่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ และวิธีการใช้สิ่งที่เราได้เรียนรู้มา เช่น กรณีตัวอย่าง ฝ่ายพัฒนาบุคลากร The Mall Group จะมีวงเล่าเช้าวันศุกร์ เพื่อให้สมาชิกทีมแต่ละคนแชร์องค์ความรู้ใหม่ๆที่ได้เรียนรู้มา

6. Coach (โค้ช)
คนนอกหรือคนในก็ได้ แต่ต้องมีทักษะในการโค้ช โดยโค้ชไม่ใช่ผู้แก้ปัญหาแต่เป็นผู้ตั้งคำถามให้กับทีม ทีมจะเป็นคนแก้ไขปัญหา โดยโค้ชต้องเป็นผู้รักษากฎของ Action Learning โดยมีกฎอยู่ 2 ข้อ

1. พูดเพื่อตอบคำถาม ไม่ใช่นึกอยากพูดก็พูดแต่พูดเฉพาะเมื่อมีคนถามคำถามกับเราเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามีคนถามคนที่อยู่ข้างๆเรา แล้วอยู่ๆเราอยากตอบหรืออยากแชร์ประสบการณ์ก็แชร์ออกมาดื้นๆ ซะอย่างนั้น ดังนั้นหากยังไม่มีใครถามเราอย่าเพิ่งตอบหรือพูด และ ทุกคนสามารถถามคำถามได้ ก็เปลี่ยนจากการพูดเรื่องของตนเองไปเป็นการตั้งคำถามแทน ตั้งคำถามกับคนในทีมเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้นั้นเอง

2. โค้ชมีอำนาจที่จะเข้าไปแทรกแซงเมื่อมีโอกาสสร้างการเรียนรู้ของทีม เพราะบางทีทีมอาจจะหลุดประเด็นหรือหลงทิศทาง โค้ชสามารถแทรกแซงเพื่อให้ทีมกลับมาเดินทางไปทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ทีมได้เรียนรู้จากกระบวนการ Action Learning ให้มากที่สุดเท่านั้นเอง

ก่อนจากกันครับ อาจารย์ Peter ฝากไว้ว่า A question not asked is a door not opened "คำถามที่ไม่ได้ถูกถาม คือ ประตูที่ไม่ได้ถูกเปิด"

สุดท้ายนี้หากท่านได้ประโยชน์จากข้อมูลที่ได้แชร์และฝึกฝนนำไปใช้งานแล้วก็ขอให้บอกต่อกับวิธีการกับทีมงานของท่านเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาให้เกิดขึ้นกับคนที่ท่านรัก

บทความนี้ ผมเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการทบทวนความรู้และแบ่งปันเพื่อต่อยอดความรู้มิได้แสวงหากำไรจากความรู้ของผู้อื่นแต่อย่างใด หากท่านอ่านแล้วมีข้อผิดพลาดหรือข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องท่านสามารถให้คำแนะนำโดยการตั้งคำถามเพื่อพัฒนาให้ถูกต้อง เกิดเ็นการเรียนรู้ทั้งผู้อ่านและผู้เขียนนั้นเองครับ


สิทธินันท์ มลิทอง
21 ตุลาคม 2559

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Story Telling

STORY TELLING




วันศุกร์แห่งความสดใสและร่าเริ่งของพี่น้อง ชาว HRD

7 ตุลาคม 2559 เช้านี้ที่ ACADEMY

คุณผุสดี พันธุมพันธ์ เจ้านายแสนดี มาแบ่งปันการเล่าเรื่อง ที่เรียกว่า Story Telling เรียกได้ว่าเป็นการติดปีกให้กับพยัคฆ์ยังไงยังนั้นเลยทีเดียว ผมก็ฟังแล้วรู้สึกชอบเลยขอนำเรื่องที่ได้จากการแชร์ในครั้งนี้มาแบ่งปันเป็นตัวหนังสือ เพื่อเป็นการทบทวนของตนเองและเป็นแหล่งอ้างอิงให้กับเพื่อนๆ ร่วมโลกได้ลองนำเทคนิค Story Telling ไปใช้เพื่อพัฒนาตนเองอีกทีครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ขอเชิญทุกท่านร่องไปกับ Story Telling ครับ

Story Telling คือ Story + Telling หมายถึง เรื่อง บวก กับการเล่า ก็คือเรื่องเล่า แล้วยังไงต่อใช่ไหมครับ ใจเย็นครับ ขอชี้ภาพให้เห็นถึงความสำคัญกันนิดหนึ่ง ด้วยคำถามนี้ครับ คุณคิดว่าสัตว์อื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์มีการสื่อสารกันหรือไม่ คำตอบคือมี โลมาใช้คลื่นโซนาในการพูดคุยติดต่อสื่อสาร มดอาจใช้หนวด ลิงอาจใช้เสียง คำถามต่อมาคุณคิดว่าสัตว์เหล่านั้นเล่าเรื่องกันไหมครับ คำตอบคือไม่ สัตว์ที่สามารถเล่าเรื่องได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น "ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้นที่มีภาษา แต่มนุษย์เท่านั้นที่เล่าเรื่องได้"  นี้ละครับมนุษย์ถึงได้เปรียบเพราะเราสามารถเล่าเรื่องได้ งั้นเรามาต่ออีกหนึ่งคำถามครับ การเล่าเรื่องที่ดีและน่าจดจำมีหลักการอย่างไร

ก่อนจะตอบคำถามนี้ผมขออนุญาติพาคุณไปรู้จักกับสมองก่อนนะครับ โดยทั่วไปการเล่าเรื่องปกติสมองของเราจะทำงานเพียงแค่ 2 ส่วนเท่านั้นคือ ส่วนวิเคราะห์ทางภาษาและการวิเคราะห์ด้านความเข้าใจ แต่ไม่ได้กระตุ้นสมองในส่วนของอารมณ์และการจดจำ ทำให้สุดท้ายคนฟังจะไม่ได้ใส่ใจหรือลืมเรื่องที่เล่าออกไป

ส่วนการเล่าแบบ Story Telling นั้นจะส่งผลที่แตกต่าง เพราะกระตุ่นสมองหลายส่วน เช่น ส่วนการประมวลผลภาพ เสียง กลิ่น การเคลื่อนไหว ความคิด นอกจากนี้สมองยังทำการจดจำ และสร้างอารมณ์เข้าไปร่วมในเวลาการเล่าเรื่อง ทำให้เรามีความรู้สึกร่วมในเรื่องดังกล่าวและสร้างความทรงจำต่อเรื่องเล่าได้ง่ายกว่ามาก  และเมื่อเราได้ฟัง Story Telling สมองของเราจะหลั่งสาร Oxytocin ซึ่งเป็นสารแห่งความรักและความเห็นอกเห็นใจ ทำให้เราเกิดความผูกพันธ์ทั้งต่อเรื่องที่ได้ฟังและผู้ที่เล่าเรื่องนี้ด้วย

หลักการของ Story Telling มาจาก Aristotle ประกอบด้วย 4 หลักการด้วยกันคือ
1. ระทม (Suffering)
2. รันทด (Struggling)
3. ระทึก (Turning)
4. รอดจากทุกข์ (Overcoming)

ส่วนความหมายก็ตรงๆตัวเลยครับ เช่น เรื่องโดราเอม่อน สังเกตเห็นไหมครับ เรื่องจะเริ่มจากโนบิตะมีเรื่องระทมโดนเพื่อนแกล้ง สอบตก หรืออื่นๆ จากนั้นพยายามยังไงก็ไม่สามารถผ่านไปได้ด้วยตนเอง มันช่างรันทดยิ่งนัก แต่เมื่อโดราเอมอนมาช่วยเหลือทำให้เกิดเรื่องระทึก ตื่นเต้น สุดท้ายโนบิตะก็มีความสุขรอดจากทุกข์นั้นๆ ไป และเรื่องโดราเอมอนก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนจากหลักการทั้ง 4 นี้เอง ลองดูจากหนังภาพยนต์ก็ได้ครับ แทบทุกเรื่องที่โด่งดังเรื่องต้องเริ่มจาก ระทม ก่อน แล้วมันแฝงไว้ด้วยความรันทด จากนั้นมีความระทึกโผล่ขึ้นมา แล้วจบด้วยรอดจากทุกข์เสมอไป

หลักการของ Story Telling มันก็มีแค่นี้ละครับ แต่ปัญหาคือ "ทุกเรื่องเล่าบอกบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นคุณ แต่ ผู้ฟังอยากรู้ว่าคุณน่าสนใจอย่างไร ก่อนจะฟังว่าคุณพูดอะไร" อันนี้ละที่จะต้องมีของเก็บไว้ในกระเป๋าให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ นั้นก็คือเรื่องของตัวคุณนั้นเอง ไอ้คำว่าเรื่องของตัวคุณนั้นเองก็คือคุณต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเองเก็บไว้เพื่อให้ผู้คนได้รู้จักกับตัวตนของคุณ เรื่องนี้ไม่ควรยาวเกิน 3 -5 นาที มากกว่านี้ไม่ดีน่าเบื่อ ฟังแล้วหลับ เดี่ยวกับมาต่อว่ามีวิธีการคิดอย่างไรในการสร้าง Story Telling ของตนเอง

Story Telling เอาไปใช้ทำอะไร นั้นสิเอาไปทำอะไรดีหน่า เบื้องต้น Story Telling เอาไปใช้ได้ดังนี้
1. Connection Story สร้างความสัมพันธ์ เพิ่มความน่าเชื่อถือ แนะนำตัวให้น่าสนใจ (ต้องมีเรื่องของตนเองเก็ยใส่กระเป๋าไว้ )
2. Influence Story เอาชนะความเชื่อฝังหัว แก้ปัญหามุมมองที่ไม่ถูกต้อง กระตุ้นให้เปิดใจ ชวนมองมุมใหม่ เช่น คนสมัยก่อนชอบตีเด็ก เพราะเชื่อมาจะทำให้เด็กไม่กระทำผิดอีก การจะยกเลิกการตีเด็กนั้นให้กับผู้ใหญ่สมัยก่อน เราก็ต้องใช้ Story Telling ไม่ว่าจะเป็นการยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่ถูกตี หรือผลลัพธ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญคือ ต้อง Story Telling อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ฟังสามารถหลุดจากความเชื่อฝังหัว(ผู้เขียนเองไม่เชื่อว่าการทำโทษด้วยวิธีการตีจะทำให้คนเป็นคนดีได้)
3. Clarity Story เพิ่มความกระจ่าง สร้างความเข้าใจ ตอบคำถามที่ท้าทาย ในการตอบคำถามถ้าเราตอบแบบธรรมดามันก็ไม่น่าจดจำ แต่ถ้าเราเป็นนัก Story Telling แล้ว นั้นการตอบด้วยเรื่องเล่า จะทำให้คำตอบนั้นน่าสนใจและก็ความเข้าใจที่ชัดเจน ฉะนั้นการหาเรื่องเล่าติดตัวไว้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น
4. Success Story ยกตัวอย่าง ใช้แทนกรณีศึกษา จูงใจให้คล้อยตาม คือการใช้ Story Telling ในการสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนคล้อยตามได้โดยง่าย

คำถามต่อมาคือ Story Telling สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานได้อย่างไร เพราะถ้าไม่สามารถนำไปใช้ได้เราจะมั่วมานั่งศึกษาและฝึกฝนไปเพื่ออะไร ดังนั้นเรามีคำตอบให้ว่า เราจะเอา Story Telling ไปใช้ในการทำงานได้อย่างไร
1. เรื่องเล่า ช่วยสร้างการจดจำ ถ้าเราต้องการสื่อสารแน่นอนว่าเราจะอยากให้ผู้ที่เราสื่อสารด้วยสามารถจดจำเนื้อความที่เราต้องการสื่อสารออกไป ดังนั้น Story Telling ที่ผ่านการฝึกฝนจะสามารถช่วยให้ผู้ฟังสามารถจดจำเรื่องที่เราสื่อสารได้เป็นอย่างดี
2. เรื่องเล่า ช่วยกระตุ้นการลงมือทำ อยากให้คนทำงานก็ต้องสื่ิอสารให้เห็นความสำคัญของการทำงาน Story Telling ช่วยคุณได้ เพราะเรื่องที่แฝงไปด้วยรายละเอียดและอารมณ์จะช่วยให้ผู้คนเห็นความสำคัญของเรื่องที่คุณจะให้คนเหล่านั้นทำ และเค้าเหล่านั้นจะลงมือทำ
3. เรื่องเล่า ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ มีพี่ชายคนหนึ่งเล่าเรื่องที่ไปแข่งขันวิ่งมาราธอนให้ผมฟังตั้งแต่การเริ่มฝึกซ้อมที่ยาวนานในแต่ละวัน การสมัครแข่งขันที่ยากลำบากเพราะในการแข่งขันรายการใหญ่ๆมีผู้สนใจจำนวนมหาศาลแต่สามารถรับสมัครได้เพียงจำนวนจำกัด และวันที่แข่งขันการวิ่งมาราธอน ความรู้สึกของพี่ชายคนนี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเล้าอารมณ์ เพราะมันคือเรื่องจริงและมีอารมณ์ คุณลองจินตนาการคุณวิ่งอยู่กลางแสงแดดเวลาเก้าโมงเช้าคุณเริ่มวิ่งตั้งแต่ตีสี่ คุณวิ่งมาแล้วห้าชั่วโมง คุณวิ่งมาเป็นระยะทางกว่า สามสิบกิโลเมตรเสื้อผ้าคุณมีแต่กลิ่นเหงื่อเหม็นเค็มอย่างบอกไม่ถูก คุณวิ่งต่อไปทีละก้าวทีละนาที ทีละนาที ทีละนาที ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ป้ายบอกระยะเหลืออีกสองกิโลคุณจะเข้าเส้นชัย ร่างกายของคุณบอกว่าไม่ไหวแล้วคุณเหมือนอยู่ในนรกทั้งเป็น ข้อต่อปวดร้าวทุกครั้งที่ก้าว หลังของคุณได้แต่นึกถึงเบาะที่นอนนิ่มๆ คุณก้าวต่อไป ไม่เห็นใครบนเส้นทางวิ่งมีแต่แสงแดดและเงาที่อยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณก้าวต่อไป ต่อไป ก้าวสุดท้ายที่คุณก้าวเข้าเส้นชัยคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากี่โมงแล้ว คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครมามุงดูคุณบ้าง คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครอุ้มคุณจากเส้นชัยไปที่เต้นพยาบาล แต่ที่ห้อยอยู่ที่คอคุณคือเหรียญรางวัล คุณผ่านมาแล้ว สี่สิบสองจุดหนึ่งเก้าห้ากิโลเมตร น้ำตาคุณไหลคุณทำได้ คุณทำในสิ่งที่คุณไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะทำได้ คุณทำได้ คุณใช้พลังใจพาร่างกายคุณเข้าเส้นชัย คุณภูมิใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ไม่ใช่เรื่องบัญเอิงแต่คุณทำได้ เท่านั้นละครับ ผมก็เริ่มซ้อมและลงวิ่งมาราธอน นี้คือ Story Telling ที่สร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี
4.  เรื่องเล่า ช่วยสร้างความเข้าใจ เพราะหน้าตารูปร่างไม่อาจบอกได้ว่าใครผ่านอะไรมาบ้าง แต่ Story Telling ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น เคยมีผลการวิจัย คนที่รู้จักกันมักจะมีแนวโน้มเห็นอกเห็นใจ เข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่าคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกัน การใช้ Story Telling สั้นๆ ช่วยให้ผู้คนรู้จักกัน ทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และประสบความสำเร็จทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัวไปด้วยกัน

แค่สี่ประโยชน์นี้ก็ทำให้การทำงานของคุณกับทีมของคุณทรงประสิทธิภาพมากขึ้น จากการ ใช้ Story Telling ในการสื่อสารระหว่างทีมงานนั้นเอง

เค้าว่ากันว่า 65% ของเวลา ที่คนส่วนใหญ่คุยกันอย่างไม่เป็นทางการ คุยกันเรื่อง ใคร ทำอะไร กับใคร
เอาง่ายๆ นะครับ นินทานั้นละ คนส่วนมากชอบนินทา และไม่รู้ตัวว่าชอบนินทา เรื่องนินทาไม่ใช่ Story Telling มันไม่เคยสร้างแรงบันดาลใจ และไม่เคยสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ใคร ฉะนั้นถ้าคุณจะ Story Telling คุณก็ควรเลิกนินทา แต่ถ้าคุณอยากเล่าเรื่องของคุณอื่นคุณต้องขออนุญาติจากเจ้าของเรื่องที่คุณจะเล่า นั้นจะไม่ใช้การนินทาแต่เป็นการยกตัวอย่างจากเรื่องราวของผู้คนที่อนุญาติให้คุณนำไปแบ่งปันได้ อย่าลืมขออนุญาติก่อนนำมาเล่า

วงจร Story Telling หน้าตาเป็นอย่างไร เริ่มจาก

Story Listening (หาเรื่อง) - Insights การหาเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเรา เรื่องที่ผู้อื่นแช่มาอีกที เรื่องของผู้อื่น หรือเราหาจากผู้ที่ประสบความสำเร็จจากทั่วโลก นำมาเก็บไว้เป็นคลังสำหรับเราเรื่อง

Story Triggering (สร้างเรื่อง) - Inspiration การนำเรื่องที่คุณหามา มาร้อยเรียงเข้ากับสิ่งที่คุณจะสื่อสารออกไป (The end in mind) เพื่อเน้นประเด็นที่คุณต้องการ เรื่องเดียวกันคุณอาจจะขยี้ต่างกันเพื่อสื่อสารต่างกัน

Story Telling (เล่าเรื่อง) -Influence การเล่าเรื่องนั้นเอง การเล่าเรื่องนี้คุณต้องฝึกฝน อารมณ์ น้ำเสียง ท่าทาง การหยุด การให้จังหวะ ทุกอย่างต้องเริ่มจาก The end in mind ว่าคุณมีวัตถุประสงค์อะไร แล้วคุณมีการสร้างเรื่องอย่างไร จะใส่เทคนิคไหนประกอบเพื่อให้เกิด Story Telling ที่ทรงประสิทธิภาพ

เอาละครับเล่าเรื่องมาซะนาน แล้ว Story Telling คืออะไรกันแน่ Story Telling คือ เรื่องจริง ห่อด้วย รายละเอียด และเล่าให้ได้ อารมณ์

นั้นละครับปรากฎการณ์ที่สอง ระทม รันทด ระทึก รอดจากทุกข์ และต้องเป็นเรื่องจริง ที่มีรายละเอียดในจุดที่เราต้องการเน้น (ขยี้) และใส่อารมณ์ให้สุดๆ เพื่อให้สมองทำงานหลายๆส่วน จนเกิดการจดจำ

ทดสอบ Story Telling

คราวนี้เรามาลองสร้างเรื่องราวของเราเองให้เป็น Story Telling กันครับ ลองแต่งเรื่องของตัวคุณเองโดยมีองค์ประกอบของ Story Telling และเรื่องนี้ต้องบอกด้วยว่า คุณเป็นใคร มาจากไหน ผ่านอะไรมาบ้าง จุดผลิกผันอยู่ที่ไหน มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ทำไมควรฟังคุณ (เล่าเรื่องราวให้ฟังว่าอะไรทำให้คุณเป็นคนแบบนี้ ทำสิ่งนี้หรือสนใจเรื่องนี้ (ทำไมควรสนใจ) )(แสดงให้ผู้ฟังเห็นว่า เรามีบางอย่างที่เหมือนกัน (เหมือนกันตรงไหน) ) ลองหาคนใกล้ๆตัวดูนะครับ แต่งเรื่อง ซ้อมเล่า และเล่าให้คุณใกล้ตัวคุณฟังดู พร้อมขอความคิดเห็นว่าเรื่องที่คุณเล่าส่งผลอย่างไร กับผู้ฟัง (ห้ามเกิน 4 นาที)

A Good Business Story
อีกตัวช่วยที่ทำให้ Story Telling น่าสนใจมากขึ้นคือ TIPS + Point

T เวลาในท้องเรื่อง
I เรื่องราวที่เกิดขึ้น
P คนที่อยู่ในเรื่อง
S หักมุมตอนจบ

+

Point จุดที่คุณจะสื่อสาร (ต้องขยี้(ใส่รายละเอียด))


ลองฟังความคิดเห็นจากคนที่คุณเล่า แล้วลองหาเรื่องใหม่ แล้วใส่ TIPS + Point ให้เข้มแข็งและฝึกฝนคุณจะเห็นความแตกต่างเมื่อคุณฝึกฝน

*** เทคนิคเพิ่มเติม
- เล่าช้าๆ
- พรรณาชัดๆ (ไม่ต้องรีบเพราะคุณซ้อมมาแล้ว)
- ไม่ต้องดราม่า (เล่าให้เล้าอารมณ์ แต่ไม่ต้องดราม่าใส่ผู้ฟัง(เราไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจ แต่เราต้องการสร้างแรงบันดาลใจ))
- เว้นจังหว่ะให้พัก
- มีหักมุมในตอนจบ

เรื่องควรระวัง
ระวังเล่าเรื่องเสร็จแล้วมีคนถามคุณว่า "แล้วไง" ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดคำถามนี้สิ่งที่เราควรทำคือ ทบทวน The end in mind วัตถุประสงค์ที่คุณเล่าคืออะไร แล้วคุณจะส่งต่ออย่างไร(ใช้เทคนิค Story Telling)

สุดท้าย คถา ของความสำเร็จ (TIPS FOR LEARNING A STORY)

1. หา - ปรับ > เล่า > เก็บ
 - หาไปเรื่อยเจอเรื่องนาสนใจก็จดเก็บไว้ ใส่โทรศัพท์ เศษกระดาษ จากนั้นลองพิจารณาเอามาปรับ เอาไปลองเล่า และเก็บไว้ใช้ครั้งต่อๆไป

2. อย่างจดเป็นเรื่องเก็บเฉพาะ TIPS
 - การจดเพื่อจำไม่ต้องจดมาทั้งหมด จดมาแค่ เวลาในท้องเรื่อง เรื่องราว ผู้ที่เกี่ยวข้อง และ สิ่งที่หักมุม แล้วคุณค่อยนำมา ร้อยเรียงในแบบของคุณตามสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อออกไป

3. Point ของเรื่องอยู่ตรงไหน
 - อย่าลืมประเด็นของคุณคืออะไร อย่างหลุดออกนอนกประเด็น

4. ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน
 - สุดท้ายไม่ต้องบอกก็รู้ฝึกฝนฝึกฝน ให้เกิดเป็นความชำนาญ ลองฝึกเล่าเรื่องให้คนใกล้ชิดคุณฟังวันละหนึ่งเรื่องครบร้อยเรื่องเมื่อไร คุณคือ ผู้เชียวชาญ Story Telling แล้วมันจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล


ครับจบ ทั้งหมดที่ท่านได้อ่านนี้เกิดจากการฟังจากคุณดีแล้วใส่ความเข้าใจของผู้เขียนถ้าข้อมูลผิดพลาดขออภัยมา ณ ที่นี้ สุดท้ายผมเห็นว่าเรื่องน่าจะเป็นประโยชน์ เลยอยากแบ่งปันไม่ได้หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด แค่ให้เรื่องที่แบ่งปันเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน ก็มีคุณค่าในตัวเรื่องมันเองอยู่แล้ว

สิทธินันท์ มลิทอง

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

DIALOGUE IN THE DARK



สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก
DIALOGUE IN THE DARK @ CHAMCHURI SQUARE 25th JUNE 2016

บทเรียนจากความมืด

          บทเรียนจากความมืด คือ นิทรรศการที่ให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้การดำเนินชีวิตของผู้พิการทางสายตา ผ่านห้องเรียนที่เป็นสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น สวนสาธารณะ ห้องนั่งเล่น ข้างถนน ตลาดขายของ รถสาธารณะ การข้ามถนน และร้านขายขนมเครื่องดื่ม ทำให้เราได้เรียนรู้ ทั้งความรู้สึก การดำรงชีวิตของผู้พิการทางสายตา ด้วยประสาทสัมผัสของตัวเราเอง
          ทั้งนี้สิ่งที่ได้เรียนรู้ในฐานะ นักพัฒนาบุคลากรนั้น ขอนำเสนอมุมมองของภาวะผู้นำ เพราะภาวะผู้นำมีความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรเป็นอย่างมาก ทุกองค์กรมีผู้นำอย่างแน่นอน แต่ปัญหาขององค์กรส่วนใหญ่ผู้นำมักขาดภาวะผู้นำ แต่หากองค์กรใดพนักงานทุกคนไม่ใช่เฉพาะผู้นำที่เป็นหัวหน้าเท่านั้นมีภาวะผู้นำสูง องค์กรนั้นมักจะมีประสิทธิภาพสูงในการประกอบการเช่นเดียวกัน
          การเข้าชมนิทรรศการแห่งความมืด มีผู้นำเข้าชมนิทรรศการเป็นผู้พิการทางสายตา นำเราเข้าไปสู่บทเรียนต่างๆ ที่อยู่ในความมืดสนิทชนิดที่ไม่มีใครมองเห็นอย่างแน่นอน บทเรียนที่ได้จากพี่ผู้นำทางเรานั้นคือการแสดงออกถึงภาวะผู้นำได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มจาก

ผู้นำตามคุณลักษณะ
         
          คุณลักษณะของผู้นำมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างเป็นระบบ ความชำนาญในงานที่ทำ ความแข็งแกร่งของร่างกาย ความฉลาดทางอารมณ์ ในอดีตเรารียนรู้คุณลักษณะของผู้นำจากความเก่งกล้าสามารถในการต่อสู้ ปกป้อง รักษา เมื่อเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมผู้นำคือผู้ที่มี ความรู้ในงานที่ทำเรียกว่ารู้ลึก คงามสามารถในการตัดสินใจ การบริหาร
          ผู้นำทางเข้าชมนิทรรศการนั้น เรียกได้ว่ามีคุณลักษณะของผู้นำอย่างชัดเจน ทั้งความสามารถในการจดจำสถานที่ ความสามารถในการจำชื่อและลักษณะของผู้เข้าชมนิทรรศการไม่ว่าจะเป็น เพศ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าชม(เพื่อน แฟน พี่น้อง) จำได้แม้กระทั้งว่าคนไหนมีปฎิกิริยาอย่างไรในแต่ละบทเรียน และสามาราถเชื่อมโยงผู้เข้าชมกับบทเรียนได้อย่างลงตัว มีทักษะการใช้เสียงที่เหมาะสมทำให้ผู้เข้าชมเกิดความรู้สึกสบายใจในการเข้าชมได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว
          คุณลักษณะของผู้นำนั้นไม่ได้หมายความว่าจะมีมาแต่กำเนิดแต่สามารถฝึกฝนให้เกิดเป็นความชำนาญได้ ผู้นำทางของเราไม่ได้พิการทางสายตามาแต่กำเนิดแต่เกิดจากอุบัติเหตุ และสามารถฝึกฝนทักษะการใช้ชีวิตในสังคมได้ เหมือยคนปกติแม้จะต้องใช้เวลานานกว่า 3 ปี ทั้งต้องปรับความรู้สึก ปรับการใช้ชีวิต แต่ผู้นำชมนิทรรศการของเราก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คุณลักษณะของผู้นำนั้นสามารถฝึกฝนให้เกิดความชำนาญได้และเป็นแรงบรรดาลใจให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย

ผู้นำเชิงพฤติกรรม

          พฤติกรรมการบริหาร การสั่งการ การนำ นั้นเราสามารถแบ่งแบบหยาบๆ ได้ สองพฤติกรรมคือ ผู้นำเชิงประชาธิปไตย หมายถึงการให้ความสำคัญกับคนมากกว่างาน และผู้นำเชิงเผด็จการที่ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าคน ทั้งสองพฤติกรรมนั้นยังไม่มีข้อสรุปว่าพฤติกรรมแบบไหนจะให้ประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากการกัน
          ผู้นำชมนิทรรศการของเราได้แสดงถึงผู้นำทั้งสองพฤติกรรมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในบทเรียนสวนสาธารณะจะมีรูปปั้นให้ผู้เข้าชมได้ลองสัมผัสดูว่า เป็นรูปปั้นของอะไรในบทเรียนนี้จะมีอยู่สองรูปปั้น ผู้นำของเราจะเป็นคนกำหนดว่าใครจะได้ลองจับรูปปั้นไหน นั้นคือการเริ่มกำหนดพฤติกรรมเชิงเผด็จการ เพื่อให้สามารถควบคุมเวลาในการเข้าชมนิทรรศการได้อย่างเหมาะสม จากนั้นในบทเรียนรถสาธารณะนั้นผู้นำก็จะเป็นคนกำหนดที่นั่งให้กับผู้เข้าชมก็เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมเชิงเผด็จการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงในการเข้าชมนิทรรศการเช่นเดียวกัน
          ในบทเรียนตลาดนัดผู้นำชมนิทรรศการของเราจะให้เปิดโอกาสให้กับผู้เข้าชมสามารถเลือกสัมผัสกับสินค้าได้ด้วยตนเองเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้จากของจริง เพื่อได้ทดสอบประสาทสัมผัสทั้งการจับ การดม ความรู้สึกของผิวสัมผัส รวมถึงบทเรียนจากร้านขายขนมเครื่องดื่ม ผู้ข้าชมนิทรรศการสามารถเลือกได้ว่าจะบทานขนมอะไร ดื่มเครื่องดื่มอะไร ในจุดนี้แสดงถึงผู้นำเชิงประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้ผู้ตามสามารถเลือกได้ด้วยตนเอง เปิดประสบการเรียนรู้ได้ ทำให้ผู้เข้าชมนิทรรศการเกิดความอยากเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งการที่สามารถทำให้ผู้เข้าชมนิทรรศการเกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้ด้วยตนเองก็เป็นผลดี ในการพัฒนาตนเองเพราะเมื่อไรที่ คนหรือพนักงานมีความอยากรู้ อยากพัฒนา ด้วยตนเอง องค์กรจะมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
          บทสรุปของผู้นำทั้งสองพฤติกรรมไม่มีแน่ชัดว่าแบบไหนจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บุคคล และความเหมาะสม เพื่อให้เราสามารถเรียนรู้ภาวะผู้นำได้มากขึ้นจึงได้เกิดทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ขึ้น

ผู้นำตามสถานการณ์

          ผู้นำตามสถานการณ์คือผู้ที่ดำเนินการบริหาร สั่งการ ดำเนินงานโดยคำนึงถึงตัวผู้ตามว่ามีคุณลักษณะแบบไหน โดยแบ่งง่ายๆ ได้สองลักษณะคือ ความมีทักษะหรือไม่มีทักษะ และ มีความอยากทำงานหรือไม่อยากทำงาน จากสองลักษณะสามารถแบ่งผู้ตามได้เป็น 4 ลักษณะย่อย คือ ผู้ตามที่มีความอยากทำงานแต่ขาดทักษะ ผู้ตามที่มีทักษะแต่ขาดความอยากในการทำงาน ผู้ตามที่ขาดความอยากและขาดทักษะ สุดท้ายคือผู้ตามที่มีความอยากเรียนรู้และมีทักษะในการทำงาน เมื่อผู้นำสามารถแบ่งผู้ตามได้ 4 ลักษณะย่อยแล้ว จึงเลือกการนำที่เหมาะสมตามคุณลักษณะทั้ง 4 คือ การชี้นำ การแนะนำ การสนับสนุน การส่งมอบอำนาจ นี้ก็คือการนำทั้ง 4 ลักษณะ
          ผู้นำชมนิทรรศการของเรานั้น จะเริ่มด้วยการแนะนำ คือผู้เข้าชมมีความอยากรู้ อยากเรียนรู้ แต่ยังขาดทักษะในการเข้าชมนิทรรศการที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ผู้นำของเราจะแนะนำว่าต้องใช้ไม้เท้าแบบไหนในการไหดหจับและการกวาดไม้เท้าเพื่อไม่ให้ชนเพื่อนที่เข้าชมด้วยกัน ควรหลับตาระหว่างการเข้าชมเพื่อไม่ให้เราลืมตาและเพ่งสายตาในความมืดเพราะจะทำให้ปวดตา จากสิ่งที่ผู้นำชมนิทรรศการทำคือการนำแบบชี้นำ ให้jกดดกดำดข้อมูลในการเข้าชมก็เสมือนกับการให้ความรู้กับพนักงานใหม่
          เมื่อเข้าสู่สภาวะที่สองคือมีทักษะ แต่ความอยากรู้เริ่มลดน้อยลง ผู้นำของเราจะเปลี่ยนการนำไปเป็นแบบการแนะนำคือ เริ่มไม่บังคับไม่ยัดเยียดความรู้แต่จะเริ่มปล่อยให้ผู้ตามได้เรียนรู้ด้วยต้นเอง เช่นเวลาเดินผ่านแต่ละบทเรียนผู้นำจะทำหน้าที่แค่ถามว่าเจออะไรบ้าง สัมผัสอะไรบ้างในบทเรียนข้างถนนนั้น ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสกับประตูบ้าน รั้วบ้าน ผู้นำจะเริ่มถามว่าคิดว่ามีอะไรบ้างในบทเรียนนี้และควรทำอย่างไร เช่นเจอสุนัขควรทำอย่างไร
          สภาวะที่สามคือ ผู้ตามมีความอยากรู้น้อยลง ทักษะเริ่มถดถอย ผู้นำจะนำแบบสนับสนุนเพื่อให้ผู้ตามเกิดไฟแห่งการเรียนรู้ ไฟแห่งการอยากทำงานขึ้นมาให้อีกครั้ง เช่นตอนขึ้นรถสาธารณะ ผู้นำสร้างความตื่นเต้นได้เป็นอย่างมาก ทั้งการแนะนำสถานที่ที่รถสาธารณะวิ่งผ่านมีการใส่ความตื่นเต้นลงไปในบทเรียน ทำให้ผู้เข้าชมนิทรรศการเกิดความตื่นเต้น และความอยากรู้อยากเห็นก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
          และสภาวะสุดท้าย คือ ผู้ตามมีความอยากรู้และมีทักษะที่เหมาะสม ผู้นำทำหน้าที่ในการส่งมอบอำนาจ ในบทเรียนสุดท้ายผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้ถามตอบกับผู้นำชมนิทรรศการเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม เราได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความรู้สึก และทัศนคติแก่กัน ทำให้ผู้ตามแค่ปล่อยให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ด้วยตนเองเสมือนผู้นำที่มอบอำนาจให้แก่ผู้ตามในการปฏิบัติงานได้ด้วยตนเองนั้นเอง
          ดังนั้นในสถานะของผู้นำ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มจากเรียนรู้ในตัวผู้ตามว่ามีความอยากเรียนรู้และทักษะในการทำงานมากน้อยขนาดไหน แล้วผู้นำจะต้องปรับการนำให้เหมาะสมกับผู้ตามแต่ละคน ผู้นำมีหน้าที่สนับสนุนผู้ตามให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง

บทสรุป

          การเรียนรู้จากบทเรียนแห่งความมืดสามารถให้บทเรียนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ความช่วยเหลือให้กับผู้พิการ การรับรู้ความรู้สึกของผู้พิการในสังคม เพื่อให้ผู้เข้าชมนิทรรศการนั้นสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้พิการในสังคมได้ โดยไม่คิดว่าผู้พิการเป็นผู้ด้อยโอกาสและจ้องเอารัดเอาเปรียบ เพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้นและทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เข้าใจเขาเข้าใจเราเช้าใจกัน
          และในฐานะนักพัฒนาบุคลากรสมารถเรียนรู้ บทเรียนแห่งความมืดได้ในหลากหลายมุมมอง ภาวะผู้นำเป็นแค่ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่เราสามารถเรียนรู้ได้ แต่ยังมีเรื่องอื่นอีกมาก เช่น การโค๊ช ระบบพี้เลี้ยง การพัฒนาการทำงาน การสร้างความไว้วางใจ การสร้างแรงจูงใจ และอื่นๆอีกมากมาย ถือว่าโชคดีมากที่ได้เข้าชมนิทรรศการในครั้งนี้ครับ


สิทธินันท์ มลิทอง


วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Be Proactive






อยากรู้จัก Proactive ทำไงดี ? 

หลักการเบื้องต้น

ในเบื้องต้นให้มองคนเป็นต้นไม้มีส่วนที่เป็นลำต้นขึ้นมาเหนือดิน และส่วนที่อยู่ใต้ดินที่เป็นราก ในส่วนที่เป็นลำต้นเราจะเรียกว่า Personality (บุคลิกภาพ) ส่วนที่อยู่ใต้ดินที่เป็นรากเราจะเรียกว่า Character (คุณลักษณะ) แล้วมันต่างกันอย่างไร ?

Personality (บุคลิกภาพ) คือ สิ่งที่เราแสดงออกและมีคนเห็น เช่น ขยันทำงานและมีคนเห็น บางที่ก็มีคนแกล้งทำเป็นขยันต่อหน้าคนอื่นพอไม่มีใครเห็นก็ขี้เกียจเหมือนเดิม (แปลแบบง่ายเข้าใจได้ไม่ยาก)
Character (คุณลักษณะ) คือ สิ่งที่เราทำโดยที่มีคนเห็นและไม่มีคนเห็น รวมถึงสิ่งที่เราคิดและรู้สึกด้วย ประมาณว่าขยันโดยไม่ต้องมีใครมานั่งดูเรา ขยันด้วยตนเองจากภายในไงครับ

คำถามคือ เราอยากเป็นคนแบบไหน ตอบตัวเองนะครับ

Cultivating Character (การเพาะปลูก คุณลักษณะ) หมายถึงการที่เราสามารถเลือกที่จะมีพฤติกรรมหรือความคิดแบบใดก็ตามเราสามารถเป็นได้ ทำได้ โดยตัวเราเป็นคนเลือกสิ่งที่เราต้องการ โดนเริ่มแรกเราต้องมีเป้าหมายก่อนว่าอย่ากมีคุณลักษณะแบบไหน แล้วต้องใส่ความตั้งใจลงไปด้วย และฝึกฝนฝึกฝน จึงจะสำเร็จสมดังหมาย

Paradigm คือ กรอบความคิดของเราเอง ที่ใช้ในการมองโลก เสมือนแผนที่ในการใช้ชีวิต ถ้ากรอบผิดแผนที่ผิดการเดินทางของชีวิตก็อาจจะผิดพลาดได้ ไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นเอง
Paradigm Shift กรอบความคิดสามารถเปลี่ยนได้ เช่น เราอาจเคยเชื่อว่าการทำงานที่ดีต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรลงบนกระดาษ แต่ปัจจุบันการทำงานเราสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเช่น Line Facebook เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการได้ กรอบความคิดเราก็เปลี่ยนไปนั้นเอง

ตัวแบบที่ใช้ในหลักการเบื้องต้นคือ See - Do - Get คุณมองโลกแบบไหน คุณจะมีพฤติกรรมแบบนั้น และคุณจะได้รับผลของการมองและพฤติกรรมของคุณเอง การเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนได้แต่ไม่มากเท่าการเปลี่ยนการมองโลก ถ้าเราสามารถเปลี่ยนมุมมองในการมองโลกได้ พฤติกรรมเราก็สามารถเปลี่ยนได้และผลลัพธ์ที่ได้จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายมหาศาลกว่าแค่การเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นเอง

คำถามในการเปลี่ยนมุมมองคือ What is it for me ,What is it for them คือถามว่าเปลี่ยนแปลงได้อะไรถ้าผลของการเปลี่ยนมีผลกระทบสูงๆ เราจะเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดูเศร้าๆหรือดราม่าสูงจะมีโอกาสทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้นนั้นเอง

Principle หลักการ คือสิ่งที่กำหนด ทุกสิ่งอย่างเราต้องใช้ชีวิตภายใต้หลักการ ถ้าเราขัดแย้งกับหลักการเราจะไม่มีทางประสบผลสำเร็จและมีความสุขได้ แล้วหลักการคืออะไร หลักการมีคุณลักษณะ คือ เป็นสากล ไร้กาลเวลา และเป็นความจริง เช่น ถ้าเราปล่อยหินจากมือ หินจะตกลงพื้น ไม่ว่าใครจะเป็นคนปล่อยหรือปล่อยที่ไหน ตอนไหน นั้นคือหลักการ เพียงแต่ว่าใครจะค้นพบหลักการก่อนแค่นั้นเอง บางเรื่องเราอาจยังไม่ค้นพบ แต่บางเรื่องเราจะค้นพบแล้ว เพราะฉะนั้นรีบหาหลักการให้พบและใช้ชีวิตไปตามหลักการ เราก็จะประสบความสำเร็จได้อย่างมีความสุขนั้นเอง

หลักของ Be Proactive

คือ "ฉันมีอิสรภาพในการเลือกและรับผิดชอบ" แค่นี้ละครับสั้นๆแต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะ Proactive ได้เพราะคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิในการเลือก หรือคิดว่าที่ตัวเองต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะคนอื่น เพราะสังคม เพราะสภาพแวดล้อม แต่ Proactive ตคือเราทำสิ่งต่างๆได้ด้วย อิสรภาพอย่างเต็มที่ 

อิสรภาพกับเสรีภาพ แตกต่างกันคือ เสรีภาพของเราอาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมาย ระเบียบบริษัท ข้อตกลงในครอบครัว การบังคับทางกาย หรืออื่นๆ แต่อิสรภาพ คือการเลือกตอบสนองของเรา ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เราสามารถเลือกได้ไม่มีใครมาลดทอนอิสรภาพของเราได้นอกจากตัวเราเอง เช่น เราถูกกลั่นแกล้งแต่เราก็สามารถเลือกได้ว่าเราจะแกล้งตอบหรือหยุดที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีนั้นได้ ด้วยตัวเราเอง ง่ายๆ แต่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจ

การเลือกหมายถึงเรามีทางเลือกเสมอ ทุกครั้ง ทุกเหตุการณ์ ถึงจะดูเหมือนมืดมิดเจ็ดด้านแต่เราก็จะต้องมองให้เห็นด้านสว่างเพียงหนึ่งด้าน ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ เพราะเรามีทางเลือก

รับผิดชอบ คือเราต้องรู้ว่าการเลือกเราคือการเลือกของเรา และเราต้องรับผิดชอบต่อการเลือกทุกครั้ง ทางที่ดีควรจะรู้ถึงผลลัพธ์ คิดถึงผลลัพธ์ ของการเลือกแต่ละครั้งเพื่อที่จะได้ทราบถึงความรับผิดชอบที่จะตามมาทุกครั้งไป

REACTIVE
เมื่อเราพูดถึง Proactive เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พูดถึง Reactive เพราะสองคำนี้เป็นคำตรงข้ามกัน Reactive คือ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และ สถานการณ์

Stimulus (สิ่งเร้า) - Response (การตอบสนอง)

หมายถึงเมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามาแล้วเราตอบสนองต่อด้วย อารมณ์ ความรู้สึก และสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนโมโหเราแล้วเราโมโหตอบกลับด้วยอารมณ์ โดยไร้ซึ้งการใช้สสติ ปัญญา และรับรู้ถึงความรับผิดชอบในการตอบสนองนั้นๆ ของเราเอง

ข้อความที่เกี่ยวข้อง

"ชีวิตของคุณเป็นผลมาจากการตัดสินใจของคุณเอง มิใช่จากเงื่อนไขรอบๆตัว"

"เสรีภาพมีจำกัด แต่อิสรภาพมีไม่จำกัด จะจำกัดต่อเมื่อเราจำกัดมัน"

"มันไม่ใช่การกระทำของผู้อื่นที่ทำร้ายเรา แต่เป็นการตอบสนองที่เราเลือกต่อการกระทำ ของเราต่างหากที่ทำร้ายเราเอง"

หัวใจของ Proactive


Stimulus (สิ่งเร้า)    

FREEDOM TO CHOOSE  (อิสรภาพในการเลือก)
-  
Response (การตอบสนอง)

หัวใจของ Proactive  คือ Freedom to choose (อิสรภาพในการเลือก) คือ เมื่อมีการตอบสนองเข้ามาเราสามารถเลือกการตอบสนองของเราได้ ไม่ใช่ตอบสนองด้วยอารมณ์แต่ตอบสนองด้วย สติ ปัญญา คุณธรรม และความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ใช้อารมณ์ในการตอบสนอง ต่อสิ่งเร้านั้นๆ

FREEDOM TO CHOOSE ประกอบด้าย สติ จินตนาการ จิตสำนึก อิสระในการทำงาน

สติ คือ การรู้ว่าขณะเวลานั้นๆ เรามีความรู้สึกอย่างไร อารมณ์แบบไหน เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า มีพระที่บวชในสมัยพุทธกาลถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับความตาย พระพุทธเจ้าตอบคำถามโดยการตั้งคำถามว่า ท่านนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระรูปนั้นตอบว่า วันละสามครั้ง แล้วพระรูปนั้นก็ถามพระพุทธเจ้ากลับว่าแล้วท่านละนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระพุทธเจ้าตอบว่า เราคิดถึงความตายทุกลมหายใจ จากเรื่องนี้สอนเราว่า การมีสติคือการรู้คิดอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจนั้นเอง แล้วทำได้ยากหรือไม่นั้น ไม่ง่ายแต่สามารถฝึกฝนได้ครับ และต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้นั้นเอง

จินตนาการ คือ การใช้ปัญญาในการคิดหาทางตอบสนอง โดยมีการคิดวิเคราะห์ต่อสถานการณ์ ใช้ความคิดไม่ใช่ อารมณ์ ย้ำอีกนะครับ ใช้ปัญญาในการหาทางออกต่อสถานการณ์ไม่ใช่อารมณ์ การมีปัญญานั้นก็ต้องมีการฝึกฝนเช่นกัน โดยการอ่านหนังสือ ฝึกฝน เรียนรู้ ไม่ว่าจะผ่านบุคคลรอบข้างสถานการณ์ ประสบการณ์ เพื่อให้มีคามแหลมคม พร้อมต่อการแก้ปัญหาในทุกสถานการณ์

จิตสำนึก คือ การตรองด้วยหัวใจ ใช้ปัญญาหาทางออกและตรองด้วยใจ คือการรู้ผิดชอบชั่วดี มีคุณธรรม มีจริยธรรม อย่าลืมนึกถึงเรื่องกรอบความคิดในเรื่องของหลักการ คือ หากหลักการผิด แผนที่ในใจผิด จิตสำนึกอาจจะผิดไปด้วย เช่น ที่เกิดขึ้นกับโลกมนุษย์ มีมนุษย์ที่สร้างห้องรมแก๊สเพื่อฆ่าคนในสงครามโลก และมีมนุษย์เดินเข้าไปในห้องรมแก๊ส หลายล้านคน เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ถ้าหลักการผิด แผนที่ผิด จิตสำนึกก็อาจจะผิดไปด้วย เป็นโดมิโนเป็นต่อเนื่องกัน เหมือนรากฐานที่แข็งแรงย่อมสร้างตึกที่แข็งแรงนั้นเอง

อิสระในการทำ คือ การลงมือทำ แต่ทุกครั้งที่มีการลงมือทำเราต้องรับผิดชอบต่อการตอบสนองของเราด้วย และการจะรับผิดชอบได้นั้นเราต้องรู้ถึงผลกระทบต่อการตัดสินใจตอบสนองว่ามีความรับผิดชอบอะไรเกิดขึ้นบ้าง นั้นหมายถึงเราต้องรับรู้ถึงความรับผิดชอบก่อนการตอบสนอง ไม่ใช่แค่ตอบสนองแล้วค่อรับรู้ถึงความรับผิดชอบ

ทั้ง 4 นี้คือหัวใจของ Proactive นั้นเอง เพราะมันคือช่องว่างระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง มันคืออิสรภาพในการตอบสนองของเรา นั้นคือ ทุกคนมีทางเลือกครับ

อยากเป็นคน Proactive ทำไงดี ?

เครื่องมือที่ 1 สู่การเป็นคน Proactive
CIRCLE OF INFLUENCE

มีวงกลมสองวงซ้อนกันอยู่ วงใหญ่เรียกว่าวงกลมที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ปัญหานิวเคลีย สภาพอากาศ ความคิดของผู้อื่น การเมือง ฯลฯ และมีวงในที่ซ้อนอยู่คือ วงกลมแห่งการควบคุมหรือวงกลมแห่งอิทธิพล คือสิ่งที่เราควบคุมได้คือ ความคิดของเรา การกระทำของเรา การตอบสนองของเรา นั้นคือสิ่งที่เราควบคุมได้และการเป็นคน Proactive จะขายวงกลมแห่งการควบคุมให้ใหญ่ขึ้นได้นั้นเอง

โดยวิธีที่เราทำได้เพื่อขยายวงกลมแห่งการควบคุมได้ เราต้องรู้จักกับ 6C

หยุด Reactive
Complain (บ่น) หยุดบ่นทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
Criticize (วิพากวิจารณ์) โดยเฉพาะการวิจารณ์โดยไม่สร้างสรรค์ต้องหยุดลงในทันที่
Compete (แข่งขัน) การแข่งขันกับผู้อื่นอย่างไม่สร้างสรรค์ แข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย แทนที่จะแข่งกับตนเองแข่งกับจิตใจตนเอง
Compare (เปรียบเทียบ) การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ต้องหยุดเช่นกัน เพราะคนแต่ละคนแตกต่างกันไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกันได้

ถ้าเราสามารถหยุดทั้ง 4 C ได้ ระยะห่างระหว่างวงกลมที่ควบคุมไม่ได้กับวงกลมแห่งการควบคุมจะหดสั้นลงเพราะจะไม่กังวลต่อสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้

เพิ่ม Proactive
Compliment (ส่วนเติมเต็ม) เมื่อเจอกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆก็ตามนั้น เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะลงมือทำอะไร ถามตัวเองครับว่า "เราทำอะไรได้บ้าง"
Cooperate (ร่วมมือกัน) คือสิ่งที่เราทำได้เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า บรูณาการกว่า ทำให้วงกลมที่ควบคุมได้ขยายออกไป

ง่ายๆ เลยครับกับเครื่องมือแรก ลด 4 C และเพิ่ม 2 C จะทำให้เราสามารถเป็นคน Proactive มากขึ้น

เครื่องมือที่ 2 สู่การเป็นคน Proactive
TRANSITION PERSON

Negative Patterns รูปแบบด้านลบ (ในอดีต)  

Transition Person ผู้นำการเปลี่ยนแปลง

Position Patterns รูปแบบด้านบวก (อนาคต)
                                            
                                                                                                    

อยากเป็นคน Proactive วิธีที่ 2 คือการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงหมายถึง ในอดีตอะไรบ้างที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ควร ไม่ดี เราจะเก็บไว้ในอดีต แต่เราจะไม่นำมันกลับมาเพื่อนำไปสู่ในอนาคต อธิบายง่ายๆคือ "อะไรที่เราเห็นว่าไม่ดี เราก็อย่าทำ" แค่นั้นละครับค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ และพฤติกรรมของเราจะ Proactive ประกอบกับวงกลมแห่งอิทธิพลของเราก็จะขยายใหญ่ขึ้นด้วย

Proactive อย่างรวดเร็ว น่าจะช่วยคลายข้อสงสัยได้บ้างนะครับ อย่างลืม มีสติ ใช้ปัญญา มีคุณธรรม รับรู้ถึงผลกระทบของการรับผิดชอบต่อการตอบสนอง หยุดบ่น หยุดวิจารณ์ หยุุดแข่งขันไร้สาระ หยุดเปรียบเทียบ ถามต้วเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราทำได้ อะไรคือวสิ่งที่พวกเราทำได้ ในอดีตเห็นว่าอะไรไม่ดีก็หยุดไม่ต้องทำไม่ต้องส่งต่อการกระทำที่ไม่ดีไปสู่ในอนาคตนั้นเองครับ

การเขียนครั้งนี้เพื่อทบทวนเนื้อหาและการเปิดให้ผู้อื่นอ่านเพื่อช่วยกันพัฒนาสู่การเป็นคน Proactive จะทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นง่ายๆ ด้วยตัวเราเอง ไม่ได้หวังสิ่งอื่นใดตอบแทนนอกจากความสุขของทุกท่านครับ

สำหรับท่านที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมสามารถติดต่อบริษัท PACRIM THAILAND ได้ครับ

สิทธินันท์ มลิทอง

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

inspiration master

Inspiration Master by Ping Lumpraploeng

(ภูพิงค์  พังสอาด)



Preface

วันนี้พี่ พิง ลำพระเพลิง (อายุ 50) มาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตว่าทำไมถึงมีความสุขแม้ชีวิตจะไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่ทุกคนคิด และก็ไม่เรียบง่ายจริงๆครับ แต่ถ้าเขียนถึงพี่พิง ธรรมดาๆดูจะไม่สมน้ำสมเนื้อ ดังนั้นผมขออนุญาตพี่พิง โดยไม่ต้องรออนุมัติ ขอเขียนถึงบทเรียนที่พี่พิงมาแบ่งปันในมุมมองของผู้นำ จากหัวข้อ Inspiration Master (ผู้เชียวชาญการสร้างแรงบันดาลใจ) กลายเป็น Happy for Leader (ผู้นำที่มีความสุข(มั้ง)) เอาเป็นว่าในมุมมองของผู้นำจะสร้างความสุขให้ตนเองและผู้คนรอบข้างได้อย่างไรนั้น ลองติดตามดูกันครับ

พี่พิง เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลาสองชั่วโมง ขึ้นมาเตรียมตัวก่อนหนึ่งชั่วโมง มีอุปกรณ์ของตนเองติดตัวมาด้วย (มีไมค์ส่วนตัวมาเองครับ) โคตรเตรียมความพร้อมเลย มาถึงตรวจสอบสถานที อุปกรณ์ เสียง แสง ภาพ ทุกอย่างเรียกว่าพร้อมมาก ถึงมากที่สุด เป็นความมืออาชีพสุดๆ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือไม่มีความถือตัวครับ เจอผมก็ยกมือสวัสดีผมซะงั้น (พี่พิงอายุ 50) พูดคุยกันเล็กๆ น้อยตามประสา ไม่เคยเจอคนที่มาบรรยายหรือวิทยากร สนิทสนมและเป็นกันเองขนาดนี้ บางคนนี้หน้ายังไม่อยากจะมองเราเลย แต่พี่พิงไม่ครับ อบอุ่นเป็นกันเอง สุภาพและหยาบคายอย่างลงตัว (น่ารัก)

แล้วทำไมผมถึงนึกถึงผู้นำขึ้นมา พี่พิง เริ่มขึ้นเวทีจากการเล่นละครใบ้ ตรงนี้ละครับที่ผมสะดุดความเป็นผู้นำ เพราะผู้ที่มีความเป็นผู้นำคือผู้ที่สามารถ Influence ผู้อื่นได้ ในการแสดงละครพี่พิงจะเชิญผู้ฟังบางท่านขึ้นมามีส่วนร่วมบนเวที ซึ้งไม่มีการเตี้ยมกันมาก่อนหน้าแต่อย่างใด เชื่อไม่ครับว่าแก่เล่นละครใบ้แต่คนที่ขึ้นมาร่วมบนเวทีสามารถทำตามที่แกต้องการได้ทุกคนและทุกอย่างที่แกต้องการ อย่างละมุนละม่อม ไม่ว่าจะเป็นการยื่นกล้วยให้ทาน ยื่นฝาคุ๊กกี้ให้แล้วนำมาตีหัวพี่พิงได้(อันนี้สุดยอด) พาเจ้านายผมขึ้นเวทีและร่วมเล่นอย่างสนุกตามบทที่แกมีแต่ไม่เคยบอกใคร คำถามที่ผุดขึ้นในหัวผมคือ ทำอย่างไรคนถึงจะทำตาม และทำตามอย่างที่ไม่ต้องสั่งออกมาเป็นคำพูดอย่างถูกต้องและตรงเวลา ตอนแรกคิดว่าก็เพราะเป็นพี่พิงมีชื่อเสียง คนถึงขึ้นมาร่วมด้วยก็ต้องทำตามอยู่แล้ว แต่ผมว่าไม่น่าใช้ครับ เพราะภาษากายที่แกส่งออกมานั้น สื่อสารได้อย่างทรงพลังมากๆ ถึงขึ้นที่บางครั้งแค่หยุดอยู่เฉยๆ ก็สามารถบังคับให้คนฟังตบมือได้อย่างกึ่งก้อง ดังนั้นนี้ละครับบทเรียนสำหรับภาวะผู้นำ

ทำอะไรก็ตามให้ทำอย่างชำนาญหมายความว่าฝึกฝนอยู่เป็นนิจไม่ท้อทอย ไม่ขี้เกียจฝึกซ้อม อยู่กับสิ่งที่เป็นเรารักในสิ่งที่เราทำ เราก็จะมีความสุขและชำนาญเป็นมืออาชีพแบบไม่รู้ตัว ส่วนบทเรียนที่พี่พิงนำมาแบ่งปันสร้างความสุขให้แก่กันในวันนี้มีดังต่อไปนี้ครับ

เริ่มจากสิ่งเล็กๆ 

พี่พิงมีผลงานชิ้นแรกที่ภาคภูมิใจคือ หนังสือเรื่อง "แกงไก่ล้างโลก" ฟังแล้วก็.... น่าอ่านครับ แค่ฟังชื่อก็ขนลุกอยากออกไปซื้อมาหาอ่านแล้วครับ พี่พิงได้แรงบันดาลใจมาจากวันที่ ฝนตกหนักแล้วแกอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหนแต่หิวข้าวอยากกินแกงไก่ ก็เลยคิดว่าถ้าฝนที่ตกลงมาเป็นแกงไก่ จะดีขนาดไหนข้าวก็มีอยู่ในบ้านไม่ต้องออกไปซื้อหา แกก็เลยลงมือเขียนลงไดอารี่ เล่มเล็กๆด้วยลายมือแกเอง แต่แกก็ไม่ได้คิดอะไรใหญ่โต แค่อยากเขียนจึงเขียน ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นหนังสือเล่มใหญ่ แต่แค่อยากเขียนก็เขียน (เหมือนผมในขณะนี้เลยครับ) จากนั้นก็แกก็ลองนำผลงานไปนำเสนอ แกเล่าว่า บก. อ่านแล้วก็หยิบไปกองไว้กับเอกสารเตรียมทำลาย(อันนี้เศร้า) แต่โชคดี มีคนหยิบไปอ่านแล้วชอบเลยเรียกพี่พิงไปคุยมาไม่ต้องเขียนมาลงนิตยาสาร ไปเขียนมาเพิ่มอีกแล้วรวมเล่มขายไปเลย หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนพี่พิงก็กลับมาวางต้นฉบับตรงหน้า บก. ถึงกับถามว่าทำไมเร็วจังแค่หนึ่งเดือนเอง พี่พิงตอบว่า กลัวพี่ บก. จะตายก่อนเลยรีบสุดชีวิต จากนั้นก็ได้ร่วมเล่มขาย และขายดีด้วย

บทเรียนผู้นำ จะทำอะไรก็ลงมือทำเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไม่สำคัญอยู่ที่ว่า เราได้ลงมือทำหรือไม่ ถ้าต้องมานั่งรอให้มีความพร้อมก่อนงานเล็กๆไม่รอแต่งานใหญ่ๆ หรือรอให้มีความพร้อมก่อนนั้นอาจจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว คนเราเกิดมาก็ไม่ได้มีชีวิตยาวนานจะมั่วมานั่งรอความตายอยู่ใย ใยไม่ลงมือทำให้รู้แล้วรู้รอดไป ทำแล้วไม่เวิร์คก็ทำใหม่ จะเริ่มใหม่กี่ครั้งไม่มีใครว่า แต่ไม่ยอมเริ่มเสียทีก็ไม่ต้องให้ใครมาว่าหรอกครับ รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว

ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่ใหน ผู้นำก็ควรที่จะลงมือทำ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้ตาม หากผู้นำไม่ทำแล้วใครจะกล้าทำละครับ หากผู้นำไม่เริ่มแล้วใครหน้าไหนจะกล้าเริ่มกัน และที่สำคัญทำจากสิ่งที่เล็กๆก่อนแล้วสิ่งใหญ่ๆที่คุ้มค่าจะตามมาเองครับ

อยู่ที่มุมมอง

เรื่องนี้มีอยู่ว่า หลังจากที่หนังสือเรื่อง "แกงไก่ล้างโลก" ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า พี่พิงแกเลยออกมาเปิดสำนักพิมพ์เองครับ สำนักพิมพ์ชื่อ "สำนักพิมพ์พิลาไลย" แต่ปรากฎว่า เจ๊ง ไม่เป็นท่าเป็นหนีหลายแสน แกก็บินครับ บินไปล้างจานอยู่ที่อเมริกา ถึงสองปีเพื่อเก็บเงินใช้หนี จากนั้นก็บินกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับบทนักแสดงประกอบฉาก แต่ด้วยความที่เป็นคนมีใจรักและมีคนเห็นคุณค่า ทำให้พี่พิงได้กลับมาเป็นผู้เขียนบทละครอีกครั้งหนึ่งและประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

พี่พิงแกเล่าว่าคนส่วนใหญ่คิดว่าแกลำบากสู้ชีวิต เหน็ดเหนื่อยไปล้างจานถึงต่างประเทศ เพื่อเก็บเงินใช้หนี้ ถึงขั้นขายบ้านขายรถเพื่อออกเดินทางถึงขึ้นที่ว่าไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว แต่ความเป็นจริงที่แกเล่าคือก็ไม่ได้ลำบากอะไร เวลาเดินทางก็ขึ้นเครื่องบินไปสบายจะตาย ใช่ว่านั่งใต้ท้องเรือสำเภาไปซะที่ไหน อยู่ทำงานล้างจานก็ทำงานแค่สองช่วงเวลาคือช่วงเที่ยง และช่วงเย็น อาหารการกินก็ดีมีพร้อมมีภรรยาเป็นแม่ครัว อาหารก็ไม่ขาดปาก เรียกว่าอยู่สบายๆเลยนี้ละครับ

บทเรียนผู้นำ มุมมองที่เรามองตนเองนั้นสำคัญ บางทีมีคนมองจากภายนอกดูเราจะยากลำบากแต่เราต่างหากที่เป็นผู้รู้จริงว่าจะเลือกมองว่าปัญหาคือความลำบาก แต่หากเราสามารถเปลี่ยนมุมมองได้นั้นถึงเราจะต้องทำงานที่ลำบากยากเย็นขนาดไหน แต่เราก็จะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่เป็นและสิ่งที่อยู่กับเราทุกเวลานั้นเอง รวมไปถึงการคิดบวก ลองคิดดูว่าถ้าท่านทำงาน สิบชั่วโมงต่อวัน หกวันต่อสัปดาห์ ออกจากบ้านตีห้า ถึงบ้านห้าทุ่ม แล้วไม่พอเรายังมีความคิดลบๆ โทษโน้นโทษนี้ทั่วไปหมด ไม่มีอะไรหรือใครที่ดีเท่ากับตนเองเลย แล้วเราจะทนอยู่ความคิดลบอยู่ทำไมละครับ ถ้าเราเปลี่ยนไปมองมุมบวกบ้างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องที่อยากรู้และมีความชำญ คำถามคือร่างกายเหนื่อยเหมือนเดิมแต่ทำไมเราต้องยอมให้จิตใจต้องเหนื่อยตามไปด้วย เพราะจิตใจเกิดขึ้นได้จากความคิด ไม่ต้องลงทุนลงแรง สมองก็คิดอยู่แล้ววันละกว่า 60,000 ความคิด ก็แค่ลองคิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นโฟกัสแต่สิ่งที่ดีที่เราเรียนรู้ได้จากสถานการณ์นั้น คนๆนั้น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่รอบตัวเรานั้นเอง

ไม่ทำแล้วจะเสียใจ

ปกติผู้เขียนบทภาพยนต์จะได้รับค่าจ้างอยู่ที่ประมาณเรื่องละ 1,000,000 บาทและเปอร์เซ็นจากกำไร ประมาณ 2,000,000 บาท รวมแล้วก็ประมาณ 3,000,000 กว่าบาท แต่มีภาพยนต์อยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนบทภาพยนต์ขอแสดงเองกำกับเอง และยื่นข้อเสนอกับนายทุนว่าตนเองจะไม่รับค้าจ้างแม้แต่บาทเดียวเพื่อให้นายทุน ยอมเปิดกองถ่ายให้ ภาพยนต์เรื่องนี้ชื่อ "ฝันโคตรโคตร" เขียนบทโดยพิง เล่นบทนำโดยพิง กำกับโดยพิง พี่พิงเล่าว่าอยากเล่นบทนี้มากมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ได้เล่นจะเสียใจมากๆ แกบอกว่าถ้าเอาแค่เขียนบทก็ได้อยู่แล้ว 3,000,000 กว่าบาทแต่แกยอมที่จะยื่นข้อเสนอไม่รับเงินเพื่อแสดงเองและกำกับเอง แกกลัวว่าถ้าไม่ลงมือทำเองแล้วอนาคตจะมานั่งเสียใจและคงจะนึกถึงอยู่แต่อดีตว่าถ้าเราได้ทำ เราจะเป็นอย่างไรรู้สึกอย่างไร ทำให้แกกล้าที่จะยื่นข้อเสนอที่จะไม่รับเงินจากนายทุน เพื่อที่จะได้เขียนบทเอง แสดงเอง และกำกับเอง ตามที่ใจปราถนา และออกมาดีมากๆด้วยครับ

บทเรียนผู้นำ บางครั้งการตัดสินใจก็ต้องใช้ความรวดเร็วสมเหตุสมผล แต่ในขณะหนึ่งนั้นความสมเหตุสมผล ความถูกต้อง อาจจะไม่เวิร์คก็ได้ครับ เพราะเราย่อมรู้ตัวของเราอยู่แล้ว จะทิ้งความสุขไปใย เงินทองข้างหน้าก็หาได้แต่เหตุการในอดีตไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นผู้นำครับถ้าท่านต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ท่านคิดว่าทำแล้วจะรู้สึกดีกับส่งนั้นในอนาคต ท่านทำเถอะครับ ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ทำให้ใครเดือนร้อน และต้องลงมือทำด้วยความมุ่งมันทุ่มเทออกมาจากหัวใจอย่างไม่ย้อท้อด้วยนะครับ

Infer

โดยสรุปแล้ว จะทำอะไรก็ลงมือทำซะ ทำด้วยทัศนคติดีๆ และลงมือทำด้วยความรักชนิดที่จะไม่รู้สึกเสียดายที่หลัง ทุกคนมีทางเลือกครับ อยู่ที่เราว่าจะเลือกทางเดินที่ดีมีประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม ประเทศชาติ รวมถึงโลกทั้งใบ นั้นก็อยู่ที่เราเลือกจะสนใจและใส่ใจให้มากขึ้น หรือจะย้ำอยู่กับที่และคอยได้แต่บ่นถึงอดีตว่าน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ อยู่แต่กับความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น หล่าวผู้นำทั้งหลายครับ อยู่ที่ตัวท่านเลือกแล้วครับ

สิทธินันท์ มลิทอง
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกชีวิตก้าวเดินอย่างมีความสุขครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

LEADERCHIEF ON STAGE



สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Leader Chief on Stage
19 March 2016
19.00 - 22.00
Aksra Theatre King Power

ประสบการณ์ที่แปลกใหม่

ครั้งแรกที่ทราบข่าวว่า อาจารย์ อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา จัด  TALK SHOW ตอบตรงๆว่ารู้สึกเฉยๆครับ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเพราะไม่รู้จักอาจารย์ อภิวุฒิ มาก่อนเลยแต่ที่สนใจนำเงินโบนัสไปซื้อบัตรเข้าชม เพราะ มีคำว่า SLINGSHOT และ SLINGSHOT GROUP มี ดร. ธัญ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นวิทยากร อยู่เลยตัดสินใจไม่ยากว่าต้องดีและคุ้มค่าราคาแน่ๆ แต่พอได้ศึกษาเกี่ยวกับอาจารย์ อภิวุฒิ เพิ่มเติมแล้วก็เกิดชอบขึ้นมาจับใจ เพราะอาจารย์ อภิวุฒิ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ภาวะผู้นำ ของประเทศไทยเลยที่เดียว และก่อนวันที่ 19 มีนาคม 2559 ได้มีโอกาสที่ถือว่าโชคดีมากๆ ในการฟังอาจารย์ อภิวุฒิ บรรยายในชั้นเรียน SITUATIONAL LEADERSHIP (ควบคุมเครื่องเสียง) ประทับใจมากครับได้ข้อคิดเยอะมาก และนำมาใช้หลายๆอย่างถือว่าไม่ผิดจากที่อาจารย์บรรยายไว้เลย จากนั้นก็ได้แต่นับวันรอที่จะได้เข้าร่วมงาน TALK SHOW LEADER CHIEF ON STAGE

WHAT IS LEADERSHIP

"ผู้นำ" กับ "ภาวะผู้นำ" สองคำที่มีความเหมือนแต่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ผู้นำจำเป็นต้องมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำบางคนกลับไม่มีภาวะผู้นำ บางคนไม่มีตำแหน่งเป็นผู้นำแต่กลับมีภาวะผู้นำ และจะดีที่สุดถ้าทุกคนในองค์กรมีภาวะผู้นำ และภาวะผู้นำคืออะไรกันแน่

อาจารย์อภิวุฒิ นำเข้าเรื่องได้ดีมากเริ่มจากการหาข้อมูลของนิยาม ภาวะผู้นำใน GOOGLE พบข้อมูลในการค้นหากว่า 310,000,000 ความหมาย (LEADERSHIP DEFINITION) แต่หากพูดให้ชัดๆ ก็คือภาวะผู้นำคือ ความสามารถในการมีอิทธิพลกับผู้อื่น ลองไปเดินดูตามบ้านบอลที่เด็กๆเล่นตามห้างได้ครับ ถ้าท่านนั่งดูประมาณ 10 นาที ท่านจะสังเกตุเห็นเด็กบางคนมีอิทธิพลในการเล่นร่วมกับเด็กๆคนอื่น ดังนั้นภาวะผู้นำอาจจะติดตัวเรามาหรือเราอาจจะสามารถสร้างขึ้นก็ได้

12  ข้อคิดสำหรับผู้นำ

เห็นปัญหาเป็นยาชูกำลัง

แน่นอนว่าไม่มีใครไม่เคยเจอปัญหา แต่ปัญหาที่แต่ละคนพบเจอย่อมมีการรับมือหรือหาทางออกของปัญหาแตกต่างกันไป บางคนเลือกที่แก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดิมขึ้นอีก แต่บางคนเลือกที่จะจมอยู่กับปัญหา ผู้นำที่มีภาวะผู้นำต้องสามารถมองปัญหาเป็นเสมือนยาชูกำลัง เพื่อหาทางออกที่ดีกว่า อาจารย์ยกตัวอย่างจากการขายตุ๊กตาหมีให้กับบริษัทขายไอศครีม จำนวน 200,000 ตัว ต้นทุน 25 บาท แต่บริษัทแห่งนั้นจะรับซื้อด้วยราคา 20 บาทเท่านั้น เป็นธรรมดาถ้าเราได้ข้อตกลงที่ขาดทุนเราก็อาจจะยกเลิกสัญญานี้ได้ แต่ผู้นำย่อมมองหาทางออก ยอมรับในราคาที่ขาดทุนแต่เสนอว่า หลังจากขายตัวที่ 200,001 ไปแล้วขอแบ่งกำไรจากการขายตุ๊กตาคนละครึ่ง เมื่อได้ข้อเสนอผู้นำต้องไม่หยุดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายอาจารย์เข้าไปศึกษาพฤติกรรมลูกค้าและหาวิธีการนำเสนอที่ทำให้สามารถขายตุ๊กตาหมีทำให้ขายได้ถึง 800,000 ตัวเลยที่เดียว ราคาทุน 25 ส่งร้าน 20 ราคาขาย 39 กำไร 19 คนละครึ่งก็ 9.5 เท่ากับได้กำไร 7,600,000 บาท นี้ละครับการแก้ปัญหาและการส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จโดยไม่หยุดหย่อนของผู้ที่มีภาวะผู้นำ ย่อมนำมาซึ้งความสำเร็จอย่างแน่นอน

หาพี่เลี้ยงมาเคียงข้าง 

ไม่มีใครเกิดมาเป็นยอดคนทุกคนต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้สร้างประสบการณ์พบเจอสถานการณ์ ทุกสิ่งที่ผ่านมาจะหลอมเราให้เป็นผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงนั้นเอง บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย ตระหนักถึงการเรียนรู้ของพนักงานใหม่เป็นอย่างดี จึงจัดให้มีระบบพี่เลี้ยง หมายความว่า "พี่เลี้ยงจะสอนทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน" ย้ำนะครับทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน นั้นหมายถึง เรื่องทั่วไป การใช้ชีวิต การปรับตัว ตัวอย่างที่อาจารย์อภิวุฒิ ยกมาทำให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นคือ พนักงานที่ทำงานด้านวิศวะ พนักงานใหม่ต้องยกมือไหว้และเรียกว่านายช่าง ถึงจะเป็นพนักงานผู้หญิงก็ต้องเรียกว่า นายช่าง เช่นเดียวกัน หรืออีกตัวอย่างคือ การเดินทางมาทำงานด้วยรถไฟ แต่ไม่ต้องลงสถานีเพราะจะเดินเข้าบริษัทไกลมาก ให้รถไฟออกตัวจากสถานีก่อนพอรถไฟเร่งเครื่องให้เราโดดออกมา ก็จะถึงหน้าบริษัทพอดี นั้นละครับเรื่องที่พี่เลี้ยงต้องสอน และต้องคอบให้กำลังใจกับพนักงานใหม่เวลาเจอปัญหา เป็นที่ระบาย ระบบพี่เลี้ยงถ้าจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคัดพี่เลี้ยงที่ดี พี่เลี้ยงที่ดีมีอยู่แค่ข้อเดียวคือพี่เลี้ยงที่มีทัศนคติดิ ไม่ใช่เอาใครมาเป็นพี่เลี้ยงก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีทัศนคติดีมองโลกในมุมมองด้านบวก เพราะทัศนคติสามารถแพร่พันธ์ุได้ หากเอาพี่เลี้ยงที่ทัศนคติแย่มา พนักงานใหม่ก็จะซึมซับทัศนคติแย่ๆ มาด้วย แต่ถ้าได้พี่เลี้ยงที่มีทัศนคติดีๆ น้องใหม่ก็จะได้ทัศนคติดีๆ ติดมาด้วย ดังนั้นคำถามคือหากคุณคือเจ้าขององค์กร คุณอยากให้พนักงานใหม่มีทัศนคติแบบไหน ดีหรือแย่ครับ

สำหรับผู้ที่อยากมีภาวะผู้นำก็เช่นกันควรที่จะหาพี่เลี้ยงหรือเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัวเราให้ดี ก็จะส่งเสริมทัศนคติ การมองโลก การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ออกมาดีได้เช่นกันครับ เพราะผู้นำสร้างได้นั้นเอง

เรียนรู้จากคนที่ไม่ชอบ 

หากท่านเคยมีหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานที่จุกจิกจู้จี้น่ารำคาญแล้วละก็จงดีใจไว้ครับ นั้นละครับคือผู้ที่ท่านจะได้เรียนรู้มากที่สุด อาจารย์อภิวุฒิ ยกตัวอย่างจากหัวหน้างานของท่านที่ละเอียดมากในการทำงานไม่ว่าจะเป็นรายงาน การจัดรายงานการประชุม กรณีหนึงที่น่าจดจำคือการใช้ปากกาไฮไลหลายสี ในการจัดทำเอกสารการประชุม อาจารย์มีข้อสงสัยว่าทำไมต้องใช้ปากกาหลายสีเลยไปถามหัวหน้า หัวหน้าตอบว่า "คุณก็คิดสิ" จบครับ คิดให้ตายก็คิดไม่ออก จนต้องไปถามหัวหน้าอีกครั้งแล้วได้คำตอบว่า การใช้ปากกาหลายสีหมายถึง สีที่หนึ่ง คือเรื่องที่เรียนเพื่อทราบ สีที่สอง คือเรื่องที่ต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว สีที่สามคือเรื่องที่ต้องได้รับการอนุมัติ แม่จ้าว นั้นละครับคือสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากคนที่เราไม่ชอบ หากผู้นำไม่กล้าที่จะเปิดรับจากคนที่เราไม่ชอบก็ยากที่จะเรียนรู้และมีภาวะผู้นำนั้นเอง

เชื่อในความเป็นไปได้

เมื่อเป้าหมายดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ มีแต่ผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงเท่านั้นที่ยังคงความเชื่ออย่างสุดใจว่าเป็นไปได้ กรณีศึกษา ครอบครัวทำรองเท้ามีพ่อและลูกชายสองคน พ่อส่งลูกชายคนโตไปอินเดียเพื่อบุกเบิกตลาดรองเท้า ลูกชายกลับมารายงานว่าที่อินเดียไม่มีใครใส่รองเท้าเลยเราไม่สามารถขายรองเท้าที่นี้ได้แน่นอน พ่อก็ส่งลูกชายคนเล็กไปอินเดียเช่นกัน ลูกชายคนเล็กกลับมารายงานว่ามีคนไม่ใส่รองเท้าเยอะแยะไปหมด รองเท้าของเราต้องขายดีแน่ๆ และก็เป็นดังว่าธุรกิจขายรองเท้าในินเดียเติบโตอย่างงาม (ลูกชายคนเล็กชื่อ โธมัส บาจา) ผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงย่อมมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองว่าเป็นไปไม่ได้ นั้นคือความแตกต่างของคนธรรมดาและผู้นำนั้นเอง

เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตตนเอง

มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ นั้นคือข้อเท็จจริง ตัวของเราเราเป็นคนกำหนดว่าเราจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่มีใครมาบังคับใครได้ มีแต่เราที่ยอมอ่อนข้อกับข้อกำหนดของตนเอง กรณีตัวอย่างคนขับรถของอาจารย์ทั้งสองท่าน ท่านแรกทำกิจกรรมล้มเหลวและมาเป็นคนขับรถให้อาจารย์อภิวุฒิและเลือกที่จะเรียนรู้ เรียกว่าอยู่กับครูดีมีชัยไปกว่าครึ่งแต่ในทางกลับกันหากพี่คนขับรถท่านนั้นเลือกที่จะเชื่อว่าตนเองเป็นแค่คนขับรถและอยู่แค่ตรงนั้นไม่เลือกที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะพบเจอแต่ทางตัน แต่พี่คนขับเลือกที่จะเรียนรู้สุดท้ายพี่คนขับรถก็ประสบความสำเร็จ เป็นนักพูดให้กำลังใจคนที่ทำงานแบบเดียวกันในบริษัทอื่น เป็นเจ้าของกิจการเลี้ยงไก่ชน ทำอาหารส่งโรงเรียน และอื่นๆอีกมากมาย ท่านที่สองเป็นคนมาเลเซีย พูดไทยได้ไม่ชัดแต่ก็เลือกที่จะเรียนรู้การทำงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟ คุมเวที เตรียมเอกสาร ไม่ได้มีมูลค่าแค่คนขับรถเท่านั้น จนปัจจุบันมีอาจารย์อภิวุฒิเป็นโค้ช ให้กับธุรกิจให้เช้าที่พักมีรายได้งามตามไปด้วย 

ข้อคิดสำหรับผู้นำหากเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้สำเร็จ ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดูสิครับ ตอนเด็กอาจารย์เรียนในโรงเรียนหนึ่งไม่เก่ง เลยย้ายโรงเรียนไปหาโรงเรียนที่มีเพื่อนที่ดีกว่า ทำให้ได้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเติบโตเป็นผู้นำที่มากประสบการณ์ เสมือนการปลูกต้นไม้ อยากให้ต้นไม่เติบโตต้องรู้จักดินที่ดี ให้น้ำที่เหมาะสม แสงแดดพอประมาณ ต้นไม่ก็จะเติบโตได้ดีตามไปด้วย นั้นละครับคือสภาพแวดล้อมดี ช่วยผู้นำได้

ซื้อใจก่อนใช้งาน

อยากให้เด็กๆ อ่านหนังสือทำอย่างไรครับ หาสิ่งจูงใจ มีโรเรียนหนึ่งที่อาจารย์อภิวุฒิ ยกตัวอย่างการจูงใจเด็กนักเรียน ให้อ่านหนังสือโดยกำหนดว่า หากอ่านหนังสือจบตามจำนวนที่กำหนดจะมีของรางวัลให้ เช่น หากอ่านหนังสือได้สามสิบเล่ม จะได้รับรางวัล คำถามต่อมาคืออะไรละคือรางวัลให้เด็กอยากอ่านหนังสือ ลองคิดครับ หนึ่ง สอง สาม คำตอบคือ บัตรไม่ต้องทำการบ้าน และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดเมื่อเด็กทุกคนแข่งกันอ่านหนังสือเพื่อชิงบัตรไม่ต้องทำการบ้าน สำหรับครูแล้วบัตรไม่ต้องทำการบ้านไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไร แต่สำหรับเด็กแล้วละครับโครตมีมูลค่าเลย การไม่ต้องทำการบ้านและการมีอำนาจเหนือคุณครูนั้นละครับคือการจูงใจขั้นสุดยอด ผู้นำที่รู้จักจูงใจผู้อื่นคือสุดยอดผู้นำ

อีกกรณีศึกษา เซลล์ขายของได้รับมอบเป้าหมาย 10 ล้านบาทต่อเดือน เซลล์ท่านนั้นสามารถปิดยอดได้ภายใน 15 วันเวลาที่เหลือหนีไปตกปลา หัวหน้างานรู้เข้าก็เพิ่มยอดขายให้ ทำให้เวลาในการตกปลาน้อยลงและน้อยลงเรื่อย จนสุดท้ายเซลล์ที่ทำผลงานได้ดีมาโดยตลอดก็ตัดสินใจลาออกไป นี้ละครับผลของการไม่รู้จักการจูงใจคนให้เหมาะสม แทนที่จะได้ผลงานที่มากขึ้นกลับศูนย์เสียบุคลากรที่มีความสามารถไปอย่างไม่มีวันกลับมาได้

ใช้จุดแข็งสร้างความสำเร็จ

บริษัทแห่งหนึ่งหาทางจัดการกับพนักงาน กลุ่ม DEADWOOD จำนวน 100 กว่าคน โดยจัดตั้งศูนย์อพยพขึ้นใกล้กับโต๊ะทำงานเจ้าของกิจการ จัดตั้งหัวหน้าโดยมีคำสั่งว่า ห้ามพวกนี้ว่าง หรือ ทำให้ยุ่งที่สุดนั้นเอง แล้วทำอย่างไรละครับ หัวหน้าหัวใส เรียกเอกสารที่ต้องทำลายเข้ามาที่ศูนย์อพยพทั้งหมด เพิ่มกระบวนการใช้ปากกาขีดก่อนทำลายโดยใช้ปากกาสองสีขีดและต้องขีดเป็นกากบาก ยังไม่พอครับ ก่อนทำลายให้ตัดกระดาษออกเป็นสองส่วน DEADWOOD ทั้ง 100 ยุ่งกันทั้งวันอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้นบริษัทแห่งนี้จัดการแข่งขันหมากล้อม แล้วไปพบเซียนดูลายนิ้วมือเพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง เจ้าของไม่รอที ปิ้งไอเดียร์สุดบรรเจิด ให้เซียนลายมือมาดูลายมือเหล่า DEADWOOD ทั้ง 100 แล้ววิเคราะห์จุดแข็งออกมา เมื่อได้จุดแข็งของ DEADWOOD ทั้ง 100 แล้วก็จัดส่ง DEADWOOD ผู้น่าส่งสารไปยังตำแหน่งงานที่เหมาะกับจุดแข็งนั้นๆ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นคือ DEADWOOD 100 คนกลายเป็น STAR ถึง 20 คน และ 60 คน กลายเป็นพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานปกติเหมือนชาวบ้านเขา แต่ก็ยังเหลืออีก 20 คนที่ยังคงเป็น DEADWOOD ต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ข้อดีของการใช้จุดแข็งทำให้ DEADWOOD กลายเป็น STAR ได้ แต่จะดีกว่าไมถ้าใช้จุดแข็งตั้งแต่ก่อนจะไม่เป็น DEADWOOD ไม่ต้องศูนย์เสียค่าใช้จ่ายในการดูแล ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกมหาศาล

TIGERWOODS นักกอร์ฟคนเก่งของโลกตอนฝึกซ้อมสมัยยังเอ๊ะๆ มีปัญหาเรื่องการตีลูกขึ้นจากหลุมทรายต้องเสียเวลาฝึกตีลูกออกจากหลุมวันละหลายชั่วโมง จนมีโปรกอร์ฟมาเห็นเข้า ให้คำแนะนำว่า จะซ้อมตีลูกขึ้นจากหลุมทรายทำไมกัน ทำไมไม่ฝึกตีลูกไม่ให้ลงหลุมทรายละ หลังจากนั้นการฝึกซ้อมก็เปลี่ยนไป ไปฝึกตีลูกแรกให้แรงและไกลจนไม่ตกหลุมทรายก็พอ ทำให้ TIGERWOODS สามารถตีลูกได้ไกลถึง 400 หลา (ผมไม่ได้เล่นกอร์ฟ แต่คิดว่าน่าจะไกลพอสมควร) นั้นละครับ จะซ้อมจุดอ่อนไปทำไมกัน ทำไมไม่ซ้อมจุดแข็งให้ดียิ่งขึ้นกันละคับ 

บทเรียนสำหรับผู้นำ อยากได้ผลงานดีต้องรู้จักใช้จุดแข็งของแต่ละคนในทีม และก็ต้องรู้จักจุดแข็งของตนเองด้วยนั้นละประเสริฐนักแล

กล้าคิดต่าง

แอนตี้ สาวบ้านนอกหน้าตาเป็นอาวุธ วันหนึ่งเกิดเหตุการสะเทือนขวัญมีคนร้ายมุ่งหวังจะข่มขืนเธอ และเธอก็ต้องเจอกับฝันร้าย เพราะแค่คนร้ายเห็นหน้าเธอเท่านั้น คนร้ายถึงกับผลักเธอออกมาด้วยความกลัวและตะโกนออกมาว่า "เฮ้ย กระเทยนี่หว่า" คนร้ายได้ทรัพยน์สินไป แต่เธอได้การเปลี่ยนแปลง เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ใครตั้งฉายาให้เธอว่า "หน้าตาเป็นอาวุธ" หลังจาก COMMIT กับตัวเองแล้วเธอก็เปลี่ยนไป จากผีร้ายกลายเป็นนางฟ้า และวันนี้เธอก็เเดินไปไหนมาไหนด้วยความมั่นใจในความสวยงานที่ชายหนุ่มต้องหันมามอง

"ขา ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญสมองกับหัวใจต่างหากที่สำคัญ" น้องธัญ ผู้ประสบชะตาชีวิตโดนรถไฟวิ่งเหยียบขาที่ประเทศสิงค์โปกล่าว อาจารย์อภิวุฒิถามต่อ "น้องธัญมีวิธีคิดอย่างไรครับ" ผมสรุปใจความสำคัญออกมาได้ว่า ถึงเราจะไม่มีขาเหมือนคนอื่นแต่เรายังมีแขนไว้เดินได้ สิ่งที่ต้องมีคือใจกับสมองต่างหากที่จะช่วยเราให้ประสบความสำเร็จ ช็อตนั้นบอกตรงๆครับ ผมขนลุก น้ำตาไหล เหมือนบรรลุธรรม จากประสบการณ์ของน้องธัญหญิงแกร่งแห่งสยามประเทศ 

DISNEY LAND ดินแดนแห่งความฝัน มีขนาดเท่ากับสนามหลวงต่อกันประมาณหนึ่งพันสนาม มีปัญหาที่จอดรถมากเพราะคนมาเที่ยวต่อวันเป็นแสนๆคน คาดว่าน่าจะมีที่จอดรถมากกว่า 50,000 ทีเลยที่เดียว ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นคือลูกค้าจำที่จอดรถตัวเองไม่ได้เพราะแค่ที่จอดรถก็น่าจะใช้สนามหลวงต่อกันประมาณ 10 สนามแล้วใหญ่มากครับ แล้ว DISNEYLAND แก้ปัญหาอย่างไรนะหรือครับ ต้องเล่าต่ออย่างนี้ครับ เมื่อ DISNEYLAND รับพนักงานใหม่เข้ามาทำงานจะปล่อยให้ไปเที่ยว DISNEYLAND หนึ่งวันเพื่อให้รู้สึกถึงความรู้สึกของลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วให้เสนอ ไอเดียมาหนึ่งไอเดีย ปรากฎว่าปัญหาเรื่องลูกค้าลืมที่จอดรถแก้ไขได้โดยง่าย วิธีการคือ เปิดที่จอดรถตามช่วงเวลาไม่เปิดทั้งหมดแล้วให้ลูกค้าเลือกหาที่จอดเองแต่เปิดที่ละ ZONE แบ่งเป็นชั่วโมงๆ ถ้าลูกค้าลืมที่จอดรถคราวนี้ง่ายแล้วครับ แค่ถามว่าลูกค้าเข้ามาใช้บริการกี่โมงก็ระบุ ZONE ที่จอดรถได้แล้วเดินหาเป็นแถวง่ายๆกว่าเยอะ ลูกค้าจำเวลาไม่ได้ ก็ถามแค่ว่ามาเช้าหรือบ่าย ถ้ามาเช้าก็ถามต่อนิดหน่อยเช้าตรูหรือสายๆ แค่นั้นก็พอจะช่วยหารถลูกค้าได้เร็วขึ้นเป็นกองแล้วครับ

บทเรียนผู้นำ ปัญหาอุปสรรคที่เข้ามา แต่ละคนมีวิธีการรับมือ วิธีคิดที่แตกต่างกัน มีแต่ผู้นำเท่านั้นที่มีวิธีคิดที่แตกต่างพร้อมจะก้าวเดินข้ามปัญหาที่เข้ามา ไม่จมอยู่กับความโศรกเศร้าที่รุมเร้าแต่เปลี่ยนเป็นพลังแห่งการใช้ชีวิตที่ยั่งยื่น

ทำเป็นตัวอย่าง

ผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาสั่งแต่พึงกระทำตนให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้ตาม ลูกน้อง และคนใกล้ตัว ถ้าลูกน้อยของท่านกลัวผี ไม่กล้าเดินไปปิดไฟที่ชั้น 2 บนบ้าน ท่านจะทำเช่นไรครับ คิด คิด คิด น่าลองครับ บางที่เราอาจเดินไปกับลูกน้อยของเราเพื่อพาไปปิดไฟ หรืออาจจะยืนให้ลูกเห็นเพื่อสร้างความกล้าที่จะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่จะส่งเสริมให้คนทำได้คือความปราถนาที่จะทำ คนที่ทำไม่ได้แต่มีความอยากที่จะทำวันหนึ่งจะทำได้ แต่คนที่ทำไม่ได้และไม่อยากทำแน่นอนว่าไม่มีวันทำได้ สิ่งหนึ่งที่ผู้นำที่มีภาวะผู้นำสูงทำได้คือ ทำเป็นตัวอย่างให้ดูว่า สิ่งที่ทำ สิ่งผลกระทบอย่างไร และควรทำเช่นไร เพื่อผู้ตามจะทำได้และเกิดแรงบันดาลใจเพื่อที่วันหนึ่งจะทำได้ด้วยตนเอง 

สื่อสารเป็น เล่าเรื่องเก่ง 

อริสโตเติล ยอดนักปราชญ์ อาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราชผู้ครองโลกในอดีต กล่าวว่าการเล่าเรื่องที่ทรงประสิทธิภาพมี 4 อย่างที่ต้องมีคือ ระทม(SUFFERING) รันทด(STRUGGLING) ระทึก(TURNING) รอดจากทุกข์(OVERCOMING) มี 4 อย่างนี้คนติดงอมแงมครับ ดูอย่างเรื่อง บ้านทรายทอง นำกลับมาทำซ้ำกี่รอบครับ ตอบไม่ถูกละซิ เยอะมากขอบอก เรื่องเล่าจากเรื่องเศร้าระทม ไม่พอมีความรันทดเข้ามาเป็นคนใช้ มีเรื่องบาดเสียวระทึกกับหญิงใหญ่หญิงเล็ก จากนั้นจบอย่างมีความสุขรอดจากทุกข์นั้นเอง คนดูเป็นไงครับติดสิครับ 

แล้วเราจะเอาเรื่องอย่างนี้มาจากไหนครับ เยอะแยะไปหมดครับ จาก FACEBOOK,LINE หนังสือพิมพ์,หนังสือนี้ไง เยอะมากไปหมดท่านอ่านแล้วเจอเรื่องไหนดีท่านก็เก็บไว้แล้วนำมาฝึกเล่าในเวทีที่เหมาะสม จากนั้นลองแต่งเรื่องลักษณะนี้ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตรับรองครับ เล่าที่ไหนก็จูงใจคนได้ ไม่ร้อยก็ร้อยครับ

บริษัทการค้าปลีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยอยากเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง ห้าง HARRODS สัญลักษณ์ของลอนดอนประเทศอังกฤษ โดยผู้บริหารกล่าวในที่ประชุมว่า HARRODS ห้างดังในลอนดอน ใครไปลอนดอนแต่ไม่เดิน HARRODS ถือว่ามาไม่ถึงลอนดอน ถึงขั้นที่ว่าซื้อของใน HARROD ต้องขอถุงหลายใบเพื่อที่จะนำมาใส่ของฝาก(ซื้อของจากร้านเจ้เล้งแล้วใส่ลงถุง HARRODS) เราจะทำให้ห้างของเราเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร ใครมาเที่ยวกรุงเทพไม่มาเดินห้างเราถือว่ามาไม่ถึงกรุงเทพ หลังจากประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนต่อบอร์ดบริหารแล้วในวันนั้น เวลาล่วงเลยไปสองเดือน เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของวิศัยทัศน์ดังกล่าว อาจารย์อภิวุฒิ ลองไปสอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างดัง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างดังกล่าวเล่าให้อาจารย์อภิวุฒิฟังว่า ห้างจะเลิกกิจการแล้วครับอาจารย์ เห็นว่าจะเปลี่ยนไปขาย แครอท(carrot) แล้วครับอาจารย์ พวกผมตกงานแน่ๆเลยครับ ตอนฟังนี้ผมอดอมยิ้มไม่ได้เลยครับ เสมือนว่าผู้บริหารที่ต้องมีสายตาดังเหยียว มองภาพรวมกลับมองไม่เห็นแม้กระทั้ง ภาพพนักงานที่คิดว่า ห้างกำลังจะไปขายแครอทซะงั้น

บทเรียนผู้นำ การสือสารมีความสำคัญมาก หากท่านแค่พูดว่า "บอกแล้ว" จงเข้าใจใหม่ว่า "บอกแล้ว" ไม่ใช้การสื่อสารแล้วครับ การสื่อสารต้องบอกแล้วต้องเข้าใจด้วยหากไม่เข้าใจจะเรียกว่าการสื่อสารได้เช่นไรละครับ (อมยิ้มในใจ)

มองคนเป็นลิ้นชัก

อาจารย์ครับ "ไอ้นี้มันแย่มากเลยครับ ไม่ได้เรื่องเลยครับ" เสียงจากผู้บริหารท่านหนึ่ง "ไม่ดียังไงครับ" อาจารย์ถามกลับ "ไม่รู้สิแต่ผมรู้นะว่ามันแย่มาก" ผู้บริหารตอบกลับ บางครั้งแวนที่เราใส่ในการมองอาจจะไม่เหมือนกัน บางครั้งเราอาจจะไม่ได้มองไปที่ข้อเท็จจริง หากแต่มองที่ความรู้สึกที่มีต่อบุคคลบางคนเท่านั้น บางคนก็ดีมากในสายตาเราทั้งที่ไม่เคยทำผลงานอะไรได้เลย จากการฟังอาจารย์อภิวุฒิ ผมพอสรุปข้อคิดได้ว่า คนทุกคนมีข้อเสียครับ แต่ทุกคนก็มีข้อดีเช่นกัน ทำไมเราไม่เลือกที่จะมองข้อดีของคนคนนั้นละครับ เสมือนว่าเราเปิดลิ้นชักตู้เราไม่จำเป็นต้องเปิดทุกลิ้นชักซักหน่อยครับ เราแค่เปิดลิ้นชักที่เราอยากเปิดเพื่อเอาของแค่นั้นเอง อย่าคิดว่าคนต้องเป็นตู้เสื้อผ้าเปิดที่เดียวเห็นหมด แต่ให้มองว่าเป็นลิ้นชัก ไม่ต้องมองทั้งหมดมองแค่สิ่งที่มีประโยชน์ก็พอแล้วครับ

บทเรียนผู้นำ ทุกคนมีข้อเสียแต่ก็ทุกคนเช่นกันที่มีข้อดี ในฐานะผู้นำท่านจะเลือกมองข้อเสียของคนและใช้ข้อเสียนั้นหรือจะมองหาข้อดีแล้วส่งเสริมให้ดีขึ้นจนเบียดทับข้อเสียให้หมดไปละครับ ท่านผู้นำทั้งหลาย

เมื่อไม่พร้อมให้เริ่มเลย

1983 ปีมหัศจรรย์ มีการแข่งขันวิ่ง ULTRAMARATHON ในประเทศ AUSTRALIA ผู้เข้าแข่งขันต้องวิ่งจาก SYDNEY ไปยัง MELBOURNE ระยะทางทั้งสิ้น 875 KILOMETRES  ชายเลี้ยงวัววัย 61 ปี นาม CLIFF YOUNG เห็นประกาศรับสมัครเลยลงสมัครวิ่งด้วย เพราะคิดว่าเป็นวิ่ง MARATHON ธรรมดาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แก(CLIFF YOUNG) เข้ารวมด้วยรองเท้าบูทที่ใส่ในฟาร์มที่แกเลี้ยงวัว พอเริ่มการแข่งขันแกก็เริ่มวิ่งไปเรื่อยๆ รั้งท้ายเป็นคนสุดท้ายมีรถพยาบาลขับตามท้ายไปด้วย(กลัวแกจะหัวใจวายตาย) ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องแกก็วิ่งไปเรื่อยไม่ยอมหยุดพักเพราะคิดว่าการแข่งขันนี้ไม่มีเวลาให้พักได้ เมื่อตกกลางคืนผู้เข้าแข่งขันรายอื่นก็หยุดพักนอน แต่แกกลับวิ่งต่อไปเรื่อยๆ มีบางเวลาที่แกแอบไปนอนเพราะกลัวคณะกรรมการเห็นจะถูกตัดสิทธิจากการวิ่ง ทั้งที่จริงผู้เข้าแข่งขันสามารถหยุดพักได้ ผลปรากฏว่าพอแกวิ่งไปถึงวันที่ 5 เหมือนแกจะวิ่งเลยเส้นชัยเพราะนึกว่าต้องวิ่งต่อไปอีก คณะกรรมการต้องหยุดแกเอาไว้ เรื่องมีอยู่ว่าที่แกสมัครเข้าแข่งขันเพราะกะว่าจะวิ่งเล่นๆ ลองดู แกไม่ได้เตรียมตัวอะไร ไม่รู้เส้นทาง ไม่รู้กติกา ไม่รู้อะไรซักอย่างรู้อย่างเดียวว่าอยากเข้าร่วมการแข่งขัน เมื่อแกเข้าเส้นชัยเวลาก็ผ่านไปสองวันผู้เข้าแข่งขันคนที่สองก็เข้าเส้นชัยต่อจากแก นั้นหมายความว่าสถิติของรายการนี้อยู่ที่การวิ่งประมาณ 7 วัน แต่แกกลับใช้เวลาแค่ 5 วันเท่านั้นก็เข้าเส้นชัย เมื่อได้เป็นที่หนึ่งของการแข่งขันย้อมได้รับรางวัลซึ้งแก่ก็ไม่รู้อีกว่ามีเงินรางวัลให้ด้วย แกก็ไม่รู้จะทำยังไงเงินรางวัลตั้ง 10,000 เหรียญ แกเลยแบ่งเงินรางวัลให้กับคนที่เข้าได้ที่ 2 ถึงที่ 10 คนละ 1,000 เหรียญ ชนะเพราะความไม่รู็นี้เอง

คำถามคือถ้าแกรู้กติกา รู้เส้นทาง รู้ว่าพักได้ CLIFF YOUNG จะยังชนะอยู่หรือไม่ ถ้าแกเตรียมตัวมาให้พร้อมกับการแข่งขัน ไม่มีใครรู้คำตอบครับ แต่ที่แน่ๆคือแกชนะเพราะความไม่พร้อมนี้เอง

เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือเมื่อยี่สิบปีที่แล้วเวลาที่ดีลองลงมาคือตอนนี้ หมายความว่าผู้นำที่มีภาวะผู้นำสูงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพร้อมหรือไม่ รู้แค่ว่าต้องเริ่มตอนนี้ก็พอ อยากพัฒนาตนเองเริ่มหยิบหนังสือมาอ่านได้เลยครับไม่ต้องรอให้พร้อม อยากลดน้ำหนัก(ใจจริงไม่อยากเขียนเรื่องการลดน้ำหนักเลย)ก็หยิบรองเท้าออกไปวิ่งตอนนี้เลยครับ อยากสุขภาพดีก็หยุดทานอาหารมันๆของทอดทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตอนนี้เลยครับ ททท ทำทันที

บนเรียนผู้นำ จะทำอะไรซักอย่างเพื่อการพัฒนาให้เริ่มตอนนี้เลยครับ อย่ารอผลัดวันประกันพรุ่ง พรุ่งอาจไม่มาถึงก็ได้ครับ 

บทเรียนอื่นๆที่ได้กับตัวผม

คนไทยขาดภาวะผู้นำ อันนี้สังเกตุจากการเข้าชม TALK SHOW เพราะเวลาเริ่มคือ 19.00 น. อาจารย์อภิวุฒิเริ่มแสดงแล้วยังมีพวกที่เพิ่งเข้ามาก่อความรำคาญทางสายตาเป็นอย่างยิ่ง แต่คาดว่าเมื่อชมเสร็จน่าจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างออกไปบ้างไม่มาก็น้อยถือว่าโชคดีแล้วครับที่ได้มาฟัง

ความละเอียดรอบคอบ มีภาษาอังกฤษเขียนอยู่บนเวทีหลายคำ เท่าที่จำได้มีคำว่า

INFLUENCING OTHERS ประมาณว่าเป็นนิยามของภาวะผู้นำคือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่น

THINK DIFFERENTLY คิดให้แตกต่างมีแต่ผู้นำที่มีภาวะผู้นำเท่านั้นที่มีความคิดในมุมมองที่แตกต่างออกไปเมื่อคนทั่วไปไม่สามารถหาคำตอบได้

THINK CRITICALLY คิดฉกรรจ์ แปลจาก GOOGLE แต่ความหมายน่าจะหมายถึงความคิดไม่มีวันชราเพราะยิ่งคิดยิ่งเด็กหากใช้ความคิดได้อย่างเป็นระบบ นั้นหมายถึงการฝึกฝนมีแต่คนที่นอนอยู่ในโรงเท่นั้นที่หยุดคิดครับ (มนุษย์คิดวันละประมาณ 60,000 เรื่องต่อวัน)

BE PRODUCTIVE เริ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำที่ดีย่อมทรงประสิทธิภาพในการใช้ชีวิต

LOOK AT THE BIG PICTURE มองให้เห็นภาพรวมก่อนถ้าเราเริ่มที่การมองแค่ภาพแคบๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่งเราจะมองไม่เห็ความสัมพันธ์ของเรื่องราวที่ผู้นำจะต้องประสานเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ผู้นำชนะคนเดียวแต่ทีมแพ้ ไม่เรียกว่ามีภาวะผู้นำครับ ผูนำต้องสร้างคนที่อยู่รอบข้างให้ดีขึ้น เด็ดขึ้น หน้าที่ผู้นำคือสร้างผู้นำครับ

STAY POSITIVE เพราะการคิดบวกคือโรคติดต่อ ผู้นำที่คิดบวกย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อยบ่างมหาศาลหาที่ใดเปรียบได้

STORYTELLING ผู้นำต้องจูงใจผู้คนด้วยเรื่องเล่าที่ทรงประสิทธิภาพ ระทม รันทด ระทึก รอดจากทุกข์ เพราะเรื่องเล่าที่ทรงประสิทธิภาพจะประทับอยู่ในใจของผู้ฟังนั้นเอง

A GREAT LEADER คำนี้งง เพราะถ้าใช้คำว่า LEADERSHIP ย่อหมายถึงภาวะผู้นำ LEADER คือผู้นำ แต่พอรวมกับ A GREAT LEADER น่าจะหมายความว่าใครได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คือผู้นำที่ยิ่งใหญ่นั้นเองใครอ่านไม่ถึงก็ LEADER ครับ (แอบยิ้มในใจ) 

สิ่งที่จะนำไปใช้

ทุกอย่างครับไม่ต้องห่วง ส่วนถามว่าจะนำไปใช้อย่างไร เชื่อผมสิครับท่านผู้นำทั้งหลายท่านได้ใช้แน่นอน ไม่วันนี้ตอนนี้ ก็พรุ่งนี้ หรือวันที่ต้องการใช้ มันจะผุดขึ้นมาเองเหมือนตาน้ำ เมื่อผุดขึ้นมาแล้วจะกลายเป็นต้นน้ำของแม่น้ำใหญ่ และผุดขึ้นมาอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย เสมือนผุดขึ้นมาไม่มีวันหมด

หมายเหตุ

ที่เขียนทั้งหมดนี้เพราะต้องการทบทวนการเรียนรู้ที่โชคดีมีโอกาสเข้าไปนั่งอยู่ในที่ที่ดีมากๆ และแค่อยากแบ่งปันภาวะผู้นำกับท่านผู้อ่านเท่านั้น ไม่ได้มีความประสงค์อื่นใด หรือแสวงหากำไรใดๆทั้งสิ้น หากเรื่องที่เขียนไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าขอน้อมรับทุกความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ แก่ปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้า สุดท้ายนี้ ผมหลงรักอาจารย์ อภิวุฒิ เข้าแล้วครับ


สิทธินันท์ มลิทอง รายงานไม่สดจาก LEADERCHIEF ON STAGE


วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เรื่องเล่าจ้าวคุณปู่


เรื่องเล่าจ้าวคุณปู่



บทนำ

21 กุมภาพันธ์ 2559 21.30 น.
บ้านโชคชัย 4 (บ้านคุณปู่)

เรื่องที่ท่านผู้อ่านต่อไปนี้เป็นการรวบรวมเรื่องที่ คุณปู่ (พล.ต.ต สันติ มลิทอง) ผู้ล่วงลับ เคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ตั้งแต่สมัยเด็กๆ รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ปู่ได้พึงปฎิบัติ พึงกระทำตนให้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และเพื่อเป็นการราบรวมเรื่องราวที่มีประโยชน์ รวมถึงรวบรวมไว้เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่ปู่มอบให้หาสิ่งใดเปรียบได้ และเพื่อให้เรื่องราวของคุณปู่จะยังคงอยู่ในใจของครอบครัวตลอด นิรันดร์ตราบชั่วฟ้าดินสลาย 

และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณคุณปู่ที่ล่วงลับ ผู้เขียนขอให้สัญญาว่า จะประพฤติตน ตามแบบคุณปู่ที่เป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทั้งความขยัน ความอดทน ความเสียสละ ความมัธยัถส์ และสิ่งๆต่างที่มิอาจกล่าวหมดได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์มิมากก็มิน้อยกว่าก่อนได้อ่านเรื่องราวต่อไปนี้

อนึ่งผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวจากความทรงจำในสมองเท่าหางอึ่ง ดังนั้นเรื่องราวบางเรื่องอาจเป็นการผสมเติมเต็ม ทั้งเรื่องที่คุณปู่เล่าให้ฟัง บางเรื่องคุณปู่ก็อ่านมาเล่าให้ฟัง หรือฟังมาเล่าอีกต่อ รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่คุณปู่ทำ บางครั้งก็แฝงความหมายที่มิอาจประมาณ บางเรื่องก็ชวนขันแบบมีสาระ ซึ้งผู้เขียนพยายามใช้ความรู้เท่าหางอึ่งประมวล วิเคราะห์และสังเคราะห์ ออกมาให้อยู่ในรูปแบบของการอ่านและสามารถสร้างประโยชน์ เป็นข้อคิด สติเตือนใจ ให้กับท่านผู้อ่านอย่างสุดความสามารถ

ตำรวจเก้าเม็ด

พูดถึงเรื่องตำรวจและมีความว่าเม็ดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอาจเหมือนเรื่องบู้สะบั่นหันแหลก หรือเรื่องตำรวจจับผู้ร้ายสุดสนุก แต่ไม่ใช่เลยครับ เป็นเรื่องชวนขัน ที่คุณปู่จะเล่าทุกครั้งที่มีการกินยาเม็ดเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องมีอยู่อย่างนี้ครับ ในอดีตปู่มีลูกน้องเป็นตำรวจ เกิดอาการไม่สบายต้องไปหาหมอ คุณหมอตรวจอาการเป็นอย่างดีและแจ้งให้ลูกน้องปู่ว่ามีอาการไข้ไม่สบาย จึงสั่งยาให้ไปกินที่บ้านและรอดูอาการ หมอสั่งว่าเมื่อยาหมดแต่อาการไข้ไม่หาย ให้กลับมาดูอาการอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่าหลังจากกลับมาบ้าน พักผ่อนได้หนึ่งวัน ลูกน้องปู่ก็กลับไปหาหมออีกครั้ง คุณหมอตกใจมากนึกว่ามีอาการหนักขึ้น พอคุณหมอถามไถ่ ได้คำตอบคือ กินยาหมดแล้วแต่เหมือนอาการแย่ลง เลยรีบมาหาหมอ หมอแปลกใจเพราะหมอสั่งยาให้กินได้ถึงเก้าวัน ทำไมผ่านไปวันเดียวถึงกลับมาหาหมออีก ลูกน้องปู่บอก ก็หน้าถุงยาเขียนให้กินครั้งละเก้าเม็ด หมอตกใจอีกครั้ง หมอบอกว่า ให้ทานครั้งละเม็ด ต่างคนต่างเถียงกันครับ แต่หมอก็สามารถล้างท้องและช่วยลูกน้องปู่ให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่พอตรวจดูถุงยาให้ดีแล้ว หมอใช้เลขไทยเขียนเป็นเลขหนึ่ง ๑ แต่ลูกน้องปู่ดูเป็นเลขเก้า 9 ซึ้งมีการเขียนคล้ายคลึงกันนี้เอง

แสดงให้เห็นถึงความผิดผลาดที่เล็กๆน้อยๆ และการเข้าใจผิดที่อาจร้ายแรงถึงชีวิตเลยที่เดียว ผู้เขียนพึงเตือนท่านผู้อ่านให้ดี ก่อนทานยาทุกครั้งไป

น้ำเปล่าใส่สะอาด

เรื่องจริงที่ยังไม่เคยมีใครทำวิจัยและน่าสนใจยิ่ง คุณปู่มีลูกสาวคนเล็กชื่อ คำเขื่อนแก้ว (อาก้อย) ตั้งชื่อตามอำเภอที่เกิดคืออำเภอคำเขื่อนแก้ว นั้นเอง อาก้อยเป็นลูกคนสาวคนเล็ก คุณปู่มีลูกทั้งหมดห้าคน ประกอบด้วยลูกชายคนโต รักษ์สันติ มลิทอง (เจียบ) ชื่อรักษ์สันติซึ้งเป็นลูกคนแรกและได้รับความรักมาก จึงตั้งชื่อลูกคนแรกด้วยความรัก กล่าวคือ รักษ์มาจากชื่อคุณย่าคือ อารีรักษ์ มลิทอง และ สันติ มาจากชื่อปู่คือ สันติ มลิทอง นำมารวมกันว่า รักษ์สันติ มลิทอง ซึ้งผู้เขียนจะนำไปเป็นแบบอย่างการตั้งชื่อลูกคนแรกของผู้เขียนด้วย ลูกคนที่สองเป็นลูกสาวชื่อ วิรงค์รอง ฟางสะอาด (ไก่) คนที่สามลูกชาย แสนอุดม มลิทอง (กุ๊ก) คนที่สี่ลูกสาว คำเขื่อนแก้ว พะมะราพา (ก้อย) และคนสุดท้ายลูกชาย ดำรงค์รักษ มลิทอง (กอง เพื่อนๆเรียก ดำ) 

เรื่องมีอยู่ว่าตอน ลูกสาวคนเล็ก เป็นเด็กนั้น คุณปู่ตั้งขวดน้ำมันก๊าดไว้ข้างๆ ตู้เย็น ปรากฏว่าวันหนึ่ง น้ำมันก๊าดในขวดหายไปหมด และลูกสาวคนเล็กเกิดอาการถ่ายพยาธิ และปู่ทำการสอบสวน ปรากฎว่าลูกสาวคนเล็กนี้เองยกขวดน้ำมันก๊าด ดื่มจนหมดขวดด้วยคิดว่าเป็นน้ำเปล่า ที่มีความใส่และไร้กลิ่น เรื่องราวเหมือนปาฎิหาย์ ลูกสาวคนเล็กไม่เป็นอะไรเลยและได้พลังพิเศษมาครอบครองคือตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยปรากฎว่ามีพยาธิอยู่ในตัวเลย แต่ผู้เขียนไม่ส่งเสริมให้ท่านผู้อ่านลองดื่มน้ำมันก๊าดดูเด็ดขาด เพราะแต่ละคนย่อมมีธาติแตกต่างกัน เรื่องนี้ปู่ชอบเล่าเวลาดื่มน้ำเปล่าหรือตอนใช้น้ำมันก๊าดผสมกับสีทาไม้ ตลอดหลายครั้ง

ดังนั้นปู่จะบอกเสมอบ้านไหนมีเด็กเล็ก อย่าวางสิ่งของที่เป็นอันตรายไว้ไกลมือเด็ก และไม่ปรากฎว่ามีลูกคนใด ได้ลิ้มลองน้ำมันก๊าดอีกเลย

ไปไหนฉันก็รู้ 

บ้านไหนมีเด็กผู้ชาย และมีรถหลายคัน น่าจะเคยประสบพบเรื่องราวคล้ายๆต่อไปนี้ คือ ลูกชายมักจะเคยแอบขัยรถออกไปเที่ยวที่ต่างๆ ก่อนที่ผู้ปกครองจะอนุญาต เรียกได้ว่าเป็นความกลัดมันของเด็กชายที่ชอบการเป็นที่ยอมรับนั้นเอง เรื่องนี้มีอยู่ว่า หลานชายคนโต อิทธิกร เลาหะพันธ์ (โอ๊ต) ขับรถไปเรียนตามปกติแต่เช้า และกลับมาถึงบ้านตอนค่ำ ปู่ก็ถามวันนี้ไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง หลานโอ๊ตก็ตอบ ไปเรียนปกติไม่มีอะไรพิเศษ ปู่ตอบกลับไปว่า ขับรถไปเรียนไกลเนอะ ตั้งสองร้อยกว่ากิโล หน้าซีดกันเป็นแถบครับ สืบทราบมาตอนหลังว่าปู่ แอบจดเลขไมค์รถ เป็นประจำทำให้รู้ว่าใครขับรถไปไหนมาไหนกี่กิโล สุดท้ายหลานโอ๊ต ก็ต้องเฉลยว่า ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดมา จริงๆไม่ใช่หลานโอ๊ตคนเดียวครับ ผู้เขียนก็เคยเจอปู่เล่นไม้นี้ออกมาเหมือนกัน 

สิ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้คือ การตำนิ หรือการแนะนำนั้น ต้องมีหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ มิฉะนั้นหากใช้ทัศนคติมาตัดสินจะทำให้ไม่สามารถปกครองคนทั้งกายและใจได้อย่างสันตินั้นเอง นี้คือหลักการแรกๆที่คุณปู่ใช้ในการปกครองครับครัวนั้นเองครับ

หอยหลอดจับง่ายนิดเดียว

สมัยเด็กๆ คุณปู่ได้เคยพาผู้เขียนและคนในครอบครัวไปเที่ยวดอนหอยหลอด จังหวัดสมุดสงคราม ซึ้งการจับหอยหลอดนั้นต้องใช้ไม้จิ้มปูนขาว ก่อนนำไม้ที่มีปูนขาวติดอยู่ ไปจิ้มลงในรูหอยหลอด เพื่อให้หอยหลอดเกิดอาการเมาและดิ้นออกมาบนผิวดินให้ผู้ที่จิ้มเก็บใส่กระป๋องได้โดยง่าย และคำว่าง่ายนั้นถ้ามิใช้ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้และไม่ได้ทำโดยชำนาญนั้น ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยครับ ผู้เขียนใช้เวลานับชั่วโมงกว่าจะจับได้หลายตัว จนแทบหมดความอดทนเลยที่เดียว เพราะแดดก็ร้อนเดินก็ยากเพราะเป็นที่ดอน เป็นดินชายเลน พอไกล้จะหมดความอดทนก็หันไปหาปู่ที่เดินแหย่หอยหลอดอยู่ไม่ไกลนัก ปู่ถือหอยหลอดอยู่เต็มถุงมากถึงสองถุงเลยทีเดียว ผู้เขียนถึงขั้นตกใจครับ ประมาณว่า ไอ้เราแหย่ตั้งนานกว่าจะได้ซักตัว คุณปู่แหย่แป็ปเดียวได้ตั้งสองถุง คุณปู่เดินกลับมาบอกฉันแหย่จนถือไม่ไหวแล้วขึ้นฝังได้ แต่แล้วความจริงก็ปรากฎเมื่อคนแหย่หอยหลอดขายเป็นอาชีพอยู่บริเวณนั้น นำเงินมาทอนคุณปู่ ปู่ก็ยิ้มเย๋เก เหมือนจะแกล้งอำหลาน 

สรุปคือปู่ไปซื้อมานั้นเอง ปู่บอกจะเสียเวลาจิ้มให้เหนื่อยไปทำไม ฮ่าฮ่าฮ่า ชนะเลิศครับ ความรู้จักพลิกแพลงนี้เองของคุณปู่ที่ช่วยให้ผู้เขียนสามารถผ่านปัญหาต่างๆที่เข้ามา หากเราสามารถใช้สติปัญญาเข้าแก้ปัญหาเพื่อแปลงออกเป็นช่องทางให้เราผ่านไปได้นั้นเอง

4 สิ่งพึงระวัง   

จริงๆแล้วเรื่องนี้น่าจะมีผู้อื่นอีกมากมายได้กล่าวถึงและมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง คุณปู่มักเล่าเรื่องนี้เสมอเวลารับประทานอาหารร่วมกัน ปู่เล่าถึงสี่อย่างพึงระวัง เพราะทั้งสี่นี้เรามิอาจคาดเดาได้เลย 

หนึ่งสัตว์หน้าขนพึงระวัง

กล่าวคือเรามิอาจคาดเดาความคิดของสัตว์หน้าขนได้เลยว่ามีความคิดหรือสิ่งที่จะกระทำออกมา บางครั้งก็ออกมาอย่างเป็นมิตรบางครั้งก็ดุร้ายอย่างน่าพึงพลัน เช่น สุนัขบางตัวก็ทำตัวหน้ารักน่าเอ็นดู บางตัวก็ดุร้ายกันคนที่เข้าไกล ทำให้เรามิอาจคาดเดาได้ ปู่จึงบอกเสมอว่าเมื่อเจอสัตว์หน้าขนให้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง

สองทะเลสงบพึงระวัง 

ทะเลสงบนี้น่าจะมีที่มาจากประสบการณ์หรือเรื่องเล่าในพื้นที่ใกล้ทะเลที่ปู่เคยปฎิบัติหน้าที่อยู่ ทะเลนั้นเมื่อสงบก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น คลื่นใต้น้ำที่ดึงคนลงใต้ทะเลและเสียชีวิตจากอาการขาดอากาศหายใจ และปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอ หรือ การเกิดคลื่นซึนามิที่เรามิอาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นถ้าเราไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยในการวิเคราะห์ทางทะเล และคลื่นพัดออก เช่นเวลาที่เราว่ายน้ำและโดนคลื่นพัดออกจากฝั่งจนทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่อาจว่ายเข้าฝังได้ นั้นละครับคือความน่ากลัวของทะเล ที่เรามิอาจคาดเดาได้

สามนารีร้อยเล่มเกวียน

สุราและนารีเป็นบ่อเกิดแห่งจุดจบของผู้ชายตั้งแต่ผู้ที่ตำต้อยจนถึงผู้นำโลก ที่มีนารีเข้ามาเกี่ยวข้องและมีแรงอิจฉาริษยา มักจะนำมาซึ้งจุดจบของชายนั้นดังที่ปรากฎอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์โลกด้วยนั้นเอง ดังนั้นการครองเรือนของชายใดต้องใช้ความระวัดระวังยิ่งในการฟัง และหญิงใดก็ตามตั้งพึงระลึกถึงความเสียหายของการกระทำของตนอย่าเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ผู้คนรอบข้างเดือนร้อนนั้นเอง

สี่พระมหากษัตย์องค์ราชัน

ในสมัยโบราณนั้นว่ากันว่า เจ้าแผ่นดินมีอำนาจเหมือนทุกชีวิต สามารถสั่งกุดหัวใครก็ได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าอยู่หัวมีโอกาศ โดนกุดหัวได้ตลอดเวลาจึงต้องพึงสังวรและระมัดระวังตนอยู่เสมอๆ ในสิ่งที่สี่นี้ผู้เขียนอยากให้รวมถึงผู้มีอำนาจด้วย เพราะผู้มีอำนาจสมัยนี้ชอบแสวงหาประโยชน์เข้าตนเอง และเพื่อให้ได้สิ่งนั้นก็สามารถเล่นละครตบตาคนทั้งโลกก็ยอม เช่น วันหนึ่งเคยโจมตีใส่กัน พอจบเรื่องก็มานั่งรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน เป็ละครที่สร้างความเดือนร้อนให้กับผู้อื่นมหาศาล

ผู้เขียนจึงขอฝากให้ท่านผู้อ่านพึงระลึก ถึงความระมัดระวังในการใช้ชีวิตนั้นเอง

เสียงปริศนา

คุณปู่เป็นตำรวจที่รับผิดชอบคดีเล็กใหญ่จำนวนมาก หนึ่งในคดีที่ปู่เล่าถึงมากที่สุดคือ คดีที่หญิงสาวถูกฆาตกรรมบนภูเขาที่ห่างไกลผู็คนและคุณปู่ต้องเข้าไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ คุณปู่ไม่ได้เล่าต่อว่าจับคนร้ายได้หรือไม่ จุดที่ปู่เล่าคือเรื่องการลงข่าวของหนังสือพิมพ์ คุณปู่เล่าว่า หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นว่า หญิงสาววิ่งหนีคนร้ายขึ้นไปบนภูเขาและร้องขอความช่วยเหลือตลอดเวลา หลังจากถูกคนร้ายทำร้ายจนใกล้ถึงแก่ความตายหญิงสาวร้องอย่างโหยหวนเป็นที่น่ากลัวนัก คุณปู่เล่ามาถึงตรงนี้ก็เล่าต่อว่า นักข่าวมันได้ยินเสียงหญิงสาวแล้วทำไมไม่เข้าไปช่วย แต่ความเป็นจริงคือไม่เคยมีใครได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือและสถานที่เกิดเหตุก็อยู่ไกลจากบ้านเรือนของคนแถวนั้นมากไม่มีทางได้ยินได้เลย แล้วนักข่าวจะไปได้ยินได้อย่างไร เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า การรับข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เข้ามานั้นตั้งระวังและวิเคราะห์ให้ดีก่อนเสมอ

ปู่สอนเสมอว่าฟังอะไรก็แล้วแต่มาเราอย่าเพิ่งเชื่อแต่ให้หาข้อพิสูจน์มาให้ได้ก่อน เพราะบางครั้งอาจเป็นเรื่องที่ไม่มีเค้าโครงของความเป็นจริงเลยก็ได้นั้นเอง

มะม่วงสุก

จริงๆแล้วคุณปู่ชอบกินมะม่วงมาก โดยกินคู่กับข้าวเหนียวมูล ยิ่งถ้าเป็นข้าวเหนียวมูล ช. สรแก้ว ละก็สุดชอบเลยละครับ เรื่องมันอยู่ตรงนี้ละครับ คุณปู่เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะมีผู้คนนำของมาเยี่ยมที่บ้านเยอะมาก ตามแต่เทศกาลหรือสะดวกใครผ่านไปผ่านมาที่กรุงเทพ ดังนั้นบ้านเราจะมีผลไม้หรือของกินต่างๆเยอะ เรื่องตลกคือปกติเมื่อได้มาเยอะเราก็กินไม่ทันแจกก็ยังเหลือ ดังนั้นเมื่อได้ของใหม่มาเราจะเก็บไว้ก่อนแล้วเอาของที่ใกล้จะเสียมาทาน แล้ววันหนึ่งปู่ก็บอกว่า เราจะมานั่งกินของเก่าที่ใกล้จะเสียทำไมน่ะ ทำไมไม่เอาของใหม่มาทานกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อมีของใหม่มาเราก็จะทานของใหม่กัน ส่วนของเก่าก็เอาไปแปรรูปตามแต่ใจปราถนาของคุณแม่ที่เป็นแม่ครัวนั้นเอง

ในบางครั้งคนเราที่มีเหตุผลก็ทำอะไรที่ดูมีเหตุผลแบบไร้เหตุผล โดยไม่ทันได้ฉุดคิดเลย ดังนั้นหากบางที่เราได้หยุดคิด ถึงความเคยชินที่เราทำอยู่เป็นประจำเราอาจจะทำอะไรโดยมีเหตุผลขึ้นมาบ้างก็ได้

กุ้งสิบบาท 

สมัยนี้ใครซื้อกุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่ทานได้นี้ ค่อนข้างที่จะมีสตางค์พอสมควรเลยที่เดียวครับ ตัวใหญ่นี้ตอนนี้กิโลกรัมละประมาณ แปดถึงเก้าร้อยเลยที่เดียว ถ้าเข้าร้านอาหารที่ปรุงสุกแล้วคาดว่าน่าจะราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่าสองพันเป็นแน่ๆ ขนาดประมาณ สองตัวโล ประมาณนั้นละครับ บ้านเราก็ชอบครับชอบทานกุ้ง แต่ส่วนใหญ่จะซื้อสดๆ มาเผาที่บ้านไปซื้อที่ตลาดเช้าบ้างตามห้างบ้างแต่ไม่ได้ทานบ่อยนะครับนานๆครั้ง แต่ที่คุณปู่ดูท่าจะชอบพอสมควรคือ กุ้งนึ่งที่ อตก. ทานพร้อมกับมันกุ้งสด ถ้ามันกุ้งเหลืออีกวันก็นำมาผัดกับข้าวผัดอร่อยไม่แพ้ ภัตตาคารเลยละครับ

ปู่เล่าว่าสมัยที่กุ้งมีอยู่เต็มแม่น้ำ ราคาจะถูกมาก ถึงมากที่สุด จะมีคนนึ่งกุ้งมาหิ้วขายตามสถานีรถไฟ ตัวละสิบบาท แค่ฟังปู่เล่าแล้วก็อยากย้อยกลับไปซื้อกินมากๆ เรื่องที่คุณปู่เล่านี้แฝงถึงวัฒนธรรมการรับประทานที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม และการกินอยู่เรียกได้ว่า ทรัพยากรมากราคาถูก ทรัพยากรน้อยคนต้องการมากราคาแพง ตามกฎดีมาน ซัพพาย ประมาณนั้นเลยละครับ

ปลาเก๋าจริงหรือ

ปลาเก๋านี้ผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะเคยได้รับประทานมาบ้างตามร้านอาหารทั่วไป ล่าสุดผู้เขียนได้มีโอกาสไปทานปลาเก๋า ที่ร้านข้าวต้ม โดยนำปลาเก๋ามาทอดกระเทียม ก็อร่อยพอใช้ได้ตัวใหญ่กำลังดี ความสดก็พอควร แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าอร่อยขั้นเทพ แต่ผู้เขียนกลับตกใจมากเมื่อถึงเวลาคิดราคาค่าอาหาร ปรากฎว่าปลาเก๋านั้นราคาสูงถึงจากละ แปดร้อยบาททีเดียว พอคุณปู่เห็นราคาคุณปู่ก็เล่าเรื่องเก่าสมัยเป็นผู้การอยู่จังหวัดติดชายทะเลว่า

สมัยก่อนชาวประมงที่จับปลาเก๋าได้ถือว่ามีดวงไม่ดีหรือดวงซวยนั้นเอง เพราะไม่มีใครนำมาประกอบอาหารรับประทาน เรียกได้ว่าถ้าจับได้ก็ต้องโยนทิ้งลงทะเล อย่างดีก็นำมาขูดและทำให้สุขเพื่อเป็นอาหารสุนัขทั่วไป เรียกได้ว่าไร้ราคาถึงขั้นที่ถ้าได้มาอาจขาดทุนเสียด้วยซ้ำ คุณปู่เล่าว่าอาจเป็นเพราะหน้าตาของปลาเก๋าที่ดูหน้าตาไม่สวยและออกแนวน่าเกรียดกระมั่ง แต่สมัยนี้กลับกลายเป็นว่าเป็นปลาที่มีราคาแพงพอสมควรแถมมีคนสั่งทั่วไปในร้านอาหารซะอย่างนั้น ดังนั้นแล้วความพิเศษในยุคสมัยหนึ่งอาจไร้ค่า แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปความพิเศษนั้นอาจแสดงออกมาก็เป็นได้

ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านทุกท่านที่กำลังรอเวลาเพื่อแสดงความพิเศษของตนให้โลกที่กำลังรอคอย ได้ประจักษ์และแย่งกันชมความพิเศษนั้นๆ โดยไม่ย้อท้อต่อความยากลำบาก เสมือนปลาเก๋าที่ต้องใช้เวลานานกว่าที่ผู้คนจะสั่งขึ้นมาทานบนโต๊ะอาหาร ด้วยราคาถึงจานละ แปดร้อยบาทนั้นเอง

สูตรหมูกรอบ

บ่งตง ภาษาวัยรุ่นแปลว่า บอกตรงๆ ว่าผู้เขียนนั้นโชคดีมากที่ได้มีโอกาสรับประทานหมูกรอบที่มี พ่อครัวเป็นถึงนายพล หรือก็คือ พล.ต.ต สันติ มลิทอง คุณปู่ของผู้เขียนนั้นเอง ในการทำหมูกรอบนั้นคุณปู่ตั้งใช้เวลานานกว่า สองถึงสามวันจะได้รับประทาน ที่คุณปู่ลงมือเองก็มิอาจทราบได้ว่าไปอ่านเจอสูตรมาหรือว่าเกิดนึกสนุกลองทำรับประทานเอง แต่ผู้เขียนขอบอกตรงๆเลยว่าอร่อยมาก และถือโอกาสนี้ แนะนำหมูกรอบสูตรนายพลที่สามารถลองทำรับประทานได้ที่บ้าน

เริ่มแรกเลยหาซิ้อหมูสามชั้น ตามตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้าก็ได้ จากนั้นนำมาล้างทำความสะอาดนำขนหมูที่ติดอยู่ตามหนังออกให้หมดมิฉะนั้นจะไม่น่ารับประทาน เมื่อได้แล้วหันเป็นชิ้นยาวประมาณหนึ่งคืบ หนาประมาณ สองนิ้ว จากนั้นนำไปต้มให้สุข เมื่อหมูสุขดีแล้วนำขึ้นมาพึ่งให้แห้งแล้วโรยเกลือจากนั้น แขวนผึ่งลมไว้ประมาณหนึ่งวัน และนำมาแช่แข็งใส่ตู้เย็นหนึ่งคืน เมื่อพร้อมแล้วก็นำมาทอดในน้ำมัน ใช้ไฟอ่อนๆ จนสุกเหลืองน่ารับประทานค่อยเร่งไฟให้แรง จะหนังกรอบเป็นได้ที่ นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักให้น้ำมันแห้ง หันรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยยิ่งนัก

คุณปู่เป็นต้นแบบของการพึ่งตนเองเสมอ อยากทานอะไรทำไมไม่ลองทำทานดู จะไปซื้อให้เสียสตางค์แพงๆทำไมกัน ทั้งที่เราก็สามารถทำเองได้ แถมยังอาจได้สูตรทาหารแปลกๆอร่อยๆก็เป็นได้ นั้นเอง

จานกระเบื้องแมว 

คุณปู่สมัยที่เกรียณแรกๆ นั้นชอบพาครอบครัวไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ของโบราณ ก็ได้เห็นเครื่องลายครามสมัยอยุธยา คุณปู่ก็เลยเล่าให้ฟังว่าบ้านเราก็เคยมีเครื่องลายครามสมัยอยุธยาเหมือกัน แต่ใครไม่รู้เอาเครื่องลายครามดังกล่าวไปใส่อาหารให้แมวกิน ก็เป็นเรื่องขำๆของคนในบ้าน สมัยที่ปู่อยู่อยุธยานั้น มีอาชีพหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ อาชีพนี้คือการงมแม่แน่เพื่อหาของเก่า ที่อยู่ในแม่น้ำ คุณปู่เล่าว่าก็มีคนนำมาให้พอสมควร เรียกว่าเยอะได้เลยละครับ ดังนั้นเมือมีมากและมีคนไม่รู้ว่าเป็นเครื่องลายครามมาเจอกัน ก็นำไปใส่อาหารให้แมวกิน ซึ้งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าในบ้านน่าจะมีอีกพอสมควรแต่ต้องเป็นหีบหลายใบเลยละกว่าจะหาพบ

บางครั้งมูลค่าของสิ่งของเมื่ออยู่ผิดที่ผิดทางมูลค่าอาจจะหายไปก็เป็นได้ เสมือนนิยายเซ็นเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนยังจำได้ดี คือมีสำนักเซ็นที่มีหินวิเศษตั้งอยู่และพื้นโดยรอบก็จะมีหินวางอยู่เป็นจำนวนมาก ปรากฎว่ามีลูกศิษย์ขอผู้เป็นอาจารย์เข้าไปดู อาจารย์ก็หยิบให้ดูเมื่อลูกศิษย์ได้ดูเสร็จเป็นที่เรียบร้อยอาจารย์เซ็นก็โยนหินก้อนนั้นไปรวบกับหินก้อนอื่น ลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็ตกใจร้องโวยวายว่าอาจารย์ทำอะไร หลังจากอาจารย์ได้ยินเสียลูกศิษย์ก็เดินไปที่กองหินที่เหมือนๆกันจำนวนมาก และก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาวางแทนที่หินวิเศษก้อนเดิม ลูกศิษย์ก็เลยถามอาจารย์ว่าท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าก้อนไหนคือหินวิเศษ อาจารย์บอกว่าข้าก็ไม่รู็เหมือนกัน หินก้อนไหนก็เหมือนกันน่ะละ ถ้าเราไม่ยึดติดก้อนไหนก็วิเศษเหมือนกัน ก็เป็นเรื่องที่แฝงกับคติธรรม ถึงการยึดติดกับสิ่งของแต่ไม่ได้มองเห็นถึงประโยชน์ที่แท้จริงของสิ่งนั้นเลย บางครั้งเครื่องลายครามอาจไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์ แต่เครื่องลายครามอาจรอใครซักคนนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ก็เป็นได้ แต่ไม่น่าจะนำไปใส่อาหารแมวเลยจริงมั้ง

ชอบปลูกบัว 

 มีอยู่วันหนึ่งคุณปู่เดินมาชวนไปราชบุรี ไอ้เราก็ถามว่าไปทำอะไรครับ คุณปู่บอกอยากปลูกบัว เราก็ได้แต่ตอบว่าครับ และก็นั่งรถไปกับคุณปู่ โดยไปกันทั้งหมดสามคนมีคุณปู่ผมและน้องอีกหนึ่งคน ขับรถกะบะไปกันสามคน เพื่อหากระถางบัวมาปลูกบัวนั้นเอง เมื่อไปถึงราชบุรีเราก็ขับเข้าไปโรงปั่นโองมังกร และจัดแจงจนได้กระถางบัวรายมังกรมาถึงสองใบใส่กะบะท้ายรถเป็นที่เรียบร้อยแถมหมูดินเผามาอีกหนึ่งตัว พอมารู้ราคาหมูดินเผาก็ตกใจพอสมควร เห็นว่าคนขายตั้งราคาไว้ถึง สามพันบาทเลยที่เดียว ทั้งที่วางทิ้งไว้บริเวณหน้าห้องน้ำแท้ๆ หลังจากนั้นเราก็หยิบๆกระถางต้นไม้มาอีกสองถึงสามกระถาง และแวะทานอาหารขึ้นชื่อคือ ขาหมูทอดกรอบ บอกเลยครับว่าอร่อยมากผู้เขียนยังจำรสชาดของอาหารมื้อนั้นได้เป็นอย่างดี แต่หลังๆเห็นร้านอาหารในกรุงเทพเรียกขาหมูเยอรมัน ก็ยังสงสัยอยู่ว่า คนเยอรมันกินขาหมูทอดกันจริงเท็จประการใด

หลังจากเสร็จจากราชบุรีเป็นที่เรียบร้อยคุณปู่ก็นำกระถางมาตั้งไว้บริเวณหน้าบ้านชั้นสอง และหาซื้อดิน บัว พร้อมอุปกรณ์การปลูกมา ผู้เขียนยังจำได้เลยว่าคุณปู่ปลูกบัวสวยมากและปลูกไปอีกหลายปี จนคุณปู่มีอายุมากขึ้นก็เลิกปลูกเพราะต้องดูแลเป็นพิเศษ ผู้เขียนเลยนำมะขาม และต้นแก้วมาปลูกต่อทั้งสอง กระถางบัวของคุณปู่เป็นที่เรียบร้อย ปรากฎว่าต้นมะขามโตดีมาก แต่ต้นแก้วนั้นงามอยู่หลายเดือนแต่สุดท้ายก็เหียวแห้งพร้อมกับการจากไปของคุณปู่

การที่คุณปู่คิดอะไรแล้วทำทันทีพร้อมลงมือจนประสบความเร็จนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง เมื่อเรานึกอยากทำอะไรให้ลงมือทำทันที และทำอย่างเต็มความสามารถอย่าย้อท้อต่อความยากลำบาก และอย่าผลัดวันประกันพุ่ง เพราะเราจะไม่ได้ลงมือทำนั้นเอง

โต๊ะสนุกเกอร์

คุณปู่เล่นสนุกเกอร์เก่งพอสมควรเลยละครับ เราเคยไปเที่ยวทะเลบนเกาะเสม็ดด้วยกันหลายคนเลยครับ โดยลูกชายคนเล็ก อากอง ดำรงค์รักษ์ มลิทอง เป็นผู้ดำเนินการให้เสร็จสรรพ โรงแรมที่เราพักมีโต๊ะพูลอยู่ หลังจากเล่นน้ำทะเลและทานอาหารเย็นร่วมกันแล้ว ก็มีโอกาสเล่นพูลด้วยกัน คุณปู่เล่นเก่งมากเลยครับ ถึงจะอายุมากแล้วผิดกับผู้เขียนที่เล่นไม่เป็นโล้เป็นโพย แทงไม่เคยลงซักลูก

คุณปู่เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้ฟังว่า สมัยที่ขึ้นไปดูงานที่โรงพักในสถานที่ห่างไกลความเจริญไม่มีถนนเข้าไปต้องเดินเท้าและขี้ม้าเพื่อเข้าไปถึง ปรากฎว่าคุณปู่บอกมีโต๊ะสนุกเกอร์ อยู่บริเวณใกล้กับโรงพักด้วย คิดดูสิขนาดเดินเท้ายังเข้าไปอย่างยากลำบากแล้วทมนุษย์ผู้มีความยาก ก็บันดาลให้โต๊ะสนุกเกอร์เข้าไปอยู่กลางป่ากลางเขาได้ซะอย่างนั้น ทำให้คุณปู่ได้ฝึกซ้อมฝีมือพอสมควรเลยที่เดียว

คุณปู่บอกว่าความมานะของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่มาก หากเราสามารถนำความมานะพยามมาใช้ให้ถูกที่ถูกทางถูกกาลเทศะแล้วละก็ ความมหัศจรรย์มากมายย่อมเกิดขึ้นบนโลกอย่างแน่นอน ขนาดโต๊ะสนุกเกอร์ยังไปอยู่กลางป่าได้ นับอะไรกับความที่ขยันพยายามมีความมานะจะไม่ประสบความสำเร็จ

เกาหลีหมัดหนัก

คุณปู่เดินทางไปดูงานต่างประเทศหลายประเทศเลยครับ เลยมีเรื่องเล่าจากแดนพอสมควร แต่เรื่องที่ปู่เล่าบ่อยคือเรื่องการทานอาหารเช้าที่โรงแรม ผู้เขียนจำนิได้ว่าประเทศไหนที่คุณปู่เล่า แต่เรื่องมีอยู่ว่าระหว่างที่คุณปู่รอตักอาหารเข้าอยู่ข้างหน้าคุณปู่มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลียืนรออยู่เช่นกัน ปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวฝรั่งน่าจะเป็นอเมริกาตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาตักแซงหน้านักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เหตุการณ์ที่คุณปู่เล่าให้ฟังอาจหวาดเสียวพอสมควรผู้อ่านที่ไม่กล้าจินตนาการตามแนะนำให้หลับตาข้ามไปอ่านตอนต่อไปได้ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวอเมริกาเข้ามาแซงตักอาหาร นักท่องเทียวชาวเกาหลีที่ตัวเล็กมาก เกิดอาการไม่พอใจและโวยวายต่อว่าเสียงดังใหญ่โต แต่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกาก็มิสะทกสะท้าน น่าจะเพราะตัวใหญ่กว่า และนักท่องเที่ยวชาวอเมริกาก็ผลักอกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เมื่อเหตุการเป็นเช่นนั้น นักท่องเที่ยวเกาหลีก็ฮุกหมัดเข้าบริเวณปลายคางเข้าอย่างจัง ไอ้กันตัวสูงยังกับเปรตเหมือนหมดแรงลงไปกองอยู่กับพื้นแน่นิ่งไปเลย

ปู่สอนว่าคนเราเกิดมาอย่างไปดูถูกใคร เพราะไม่แน่คนที่เราดูถูกดูแคลนอาจมีอะไรดีก็ได้ รวมถึงมารยาททางสังคม เกิดเป็นชายต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ รักษามารยาทเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่นนั้นเอง

ชักโครกมรณะ

อาจฟังเหมือนเรื่องหาดเสียวแต่ผู้เขียนรับรองว่าไม่เสียวครับ คุณปู่เล่าว่าระหว่างเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินก็มีเสียงร้องโวยวายออกมาจากบริเวณห้องน้ำของเครื่องบิน ปรากฎว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งที่ขึ้นเครื่องไปด้วยนั้น ก้นติดอยู่กับชักโครกเครื่องบินถึงขั้นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลยที่เดียว เข้าใจว่าผู้โดยสารท่านนั้นคงจะกำลังใช้โถชักโครกอยู่แล้วกดชักโครกขณะนั่งอยู่แล้วแรงดูดชักโครกคงจะดูดก้นผู้โดยสารให้ติดกับตัวชักโครกนั้นเอง เพราะระบบชักโครกบนเครื่องบินนั้น ไม่มีระบบน้ำแต่ใช้แรงดูดลงไปนั้นเอง บางครั้งผู้โดยสารท่านนั้นอาจขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกและไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าว แต่ก็สามารถช่วยออกมาได้โดยปลอดภัย เหลือร่องรอยอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากฟังเรื่องของคุณปู่ ผู้เขียนก็ไม่เคยมีโอกาสได้ลองใช้บริการห้องน้ำของเครื่องบินอีกเลย นึกแล้วขันตัวเอง

บางครั้งความไม่รู้ก็อาจเป็นสาเหตุของเรื่องแปลกๆหรือปัญหาบางประการ แต่ทุกครั้งที่มนุษย์เรามีประสบการณ์ จากเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ทำให้เราสามารถที่จะก้าวผ่านปัญหาที่เคยเจอหรือรับมือกับสถานการณ์ที่เราเคยผ่านมาแล้วได้เป็นอย่างดี ดังนั้นแล้วเราก็ไม่ควรที่จะกลัวในการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการนั่งชักโครกบนเครื่องบินนั้นเอง

ปิกนิก

ปิกนิก ก็คือการประกอบอาหารออกไปรับประทานตามสถานที่ต่างๆ ซึ้งคุณปู่ชอบมากสมัยเกรียณใหม่ๆ คุณปู่พาผู้เขียนและครอบครัวไปปิกนิกเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงเย็น เช่นบางวันเราไปปิกนิกที่สนามหลวง เราก็จะหาซื้อว่าวมาเล่นกัน และนักทานข้าวเย็นหลังรถกะบะกัน ไปเป็นครอบครัวใหญ่ เลยที่เดียวครับ บางครั้งก็ไปพุทธมณฑลให้อาหารปลาและทานข้าวกัน คุณแม่ก็จะนึ่งข้าวเหนียวทอดไก่ ทอดหมูไปรับประทานกัน ตอนเปิดถนนอักษะใหม่ๆ คุณปู่ก็พาขับรถไปเที่ยวและประกอบอาหารไปรับประทานกัน หรือครั้งที่ไปเที่ยวดรีมเวิร์ล คุณแม่ก็จะจัดเตรียมอาหารไปรับประทานตอนกลางวันกัน เรียกได้ว่าบ้านเราไปไหน เราก็ประกอบอาหารไปทานด้วย บางครั้งรถติดมากเราก็ทานกันบนรถ เป็นวัยเด็กที่มีความสุขมากเหลือประมาณได้เลยที่เดียว สวนรถไฟเราก็ไปปันจักรยานและทานข้าวเย็นกัน เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรที่บ้านเราออกไปทานข้าวนอกบ้านบ่อยมากๆ เลยครับ จนคุณปู่อายุมากขึ้นเราก็ไม่ค่อยได้ไป แต่อยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน

ความที่คุณปู่ทานง่ายอยู่ง่ายจึงเป็นแบบอย่างให้กับหลานเป็นอย่างดี ทำให้ผู้เขียนไปไหนอยู่ไหนก็อยู่ได้ทานได้ ไม่ต้องมากพิธี และความที่เราอยู่ง่ายกินง่ายก็ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น มีประสบการณ์ติดตัวไปด้วยอยู่เสมอ

ขับรถร้อยกิโลเมตร

พูดถึงเรื่องขับรถแล้วก็นึกขำคุณปู่อยู่พอสมควร เมื่อผู้เขียนโตขึ้นมา ผู้เขียนก็ติดนิสัยคุณปู่ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ แต่ทุกครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ คุณปู่จะโทรเข้ามาอยู่เสมอว่าถึงไหนแล้ว ถ้าขับรถได้ประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรหรือขับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ให้จอดพักรถไม่ต้องดับเครื่องแต่ให้เปิดกระโปรงหน้าระบายความร้อนทิ้งไว้ประมาณสิบนาที และคุณปู่ก็จะโทรมาเตือนเป็นระยะๆ ดังนั้นเพื่อนๆที่ร่ามไปกับผู้เขียนจะรู้ดีว่า ผู้เขียนจอดรถบ่อยมาก ถ้าไปเชียงใหม่ก็จะจอดอยู่ประมาณ เก้าถึงสิบครั้งเลยทีเดียว บางครั้งก็มีแซวคุณปู่กลับไปบ้างว่า ถ้าขับเครื่องบินจะจอดยังไงดีทุกชั่วโมง กว่าจะถึงที่หมายนี้ถ้าจะลำบากน่าดู

ความที่คุณปู่เป็นคนที่ถนอมสิ่งของเครื่องใช้เพราะเชื่อว่าการที่เราใช้ของอย่างถนอมจะทำให้เราสามารถยืดอายุการใช้งาน และใช้งานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เขียนติดนิสัยนี้ ในการใช้สิ่งของต่างๆด้วยความระวัดระวังอยู่เสมอมา 

ขี้ระแวง

เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่คุณปู่เล่าให้ฟังเสมอเพื่อสอนใจหลานๆ คือ เรื่องคดีของเศรษฐีนี สูงอายุที่เป็นคนขี้ระแวงคนมากๆ ด้วยความที่มีทรัพย์สมบัติมากและกลัวจะมีคนมาแย่งชิงทรัพย์สมบัติของประกอบกับความตระหนี่ที่มากกว่าคนทั่วไป กลัวแม้กระทั้งลูกหลานจะมาแย่งชิ่งทรัพย์สมบัติของตนเอง เมื่อลูกหลานเศรษฐีนี พาไปทำบุญที่วัดติดกับป่า ปรากฎว่าเศรษฐีนีเดินไปเข้าห้องน้ำและหายตัวไป ลูกหลานและชาวบ้านบริเวณช่วยกันออกตามหาแต่ไม่ปรากฎพบเจอ เมื่อผ่านไปได้ สามวันปรากฎว่ามีคนไปพบศพเศรษฐีนีคนดังกล่าวแต่สภาพศพเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดกินเข้าใจว่าน่าจะเป็นสุนัขป่าเข้ามาทำร้าย แต่บริเวณที่พบศพก็อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนักประกอบกับที่พบศพเป็นบริเวณอับสายตา พึงประมาณได้ว่าเศรษฐีนีน่าจะเข้าไปหลบหรือแอบซ่อนเพราะกลัวคนจะมาแย้งชิงทรัพย์สมบัติ ทำให้คนที่เข้าไปช่วยตามหากลับหาไม่เจอนั้นเอง

บางครั้งความขี้ระแวงสงสัยนสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงนั้นอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้ การปล่อยวางไม่ยึดติดดังคำพระท่าน น่าจะเป็นทางออกที่ดีและทำให้จิตใจสงบไม่ตกเป็นทาสของกิเลสปัญญา จนชีวิตหาไม่ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควรก็เป็นได้

อาชีพห้ามประกอบ

เป็นเรื่องเล่าลำดับท้ายๆของคุณปู่ ผู้เขียนเล่าให้คุณปู่ฟังว่าแฟนของผู้เขียน แก้ม ศิริญา สุทาวัน ไปเรียนเสริมสวย และเรียนตัดผมชาย กับหน่วยงานของกรุงเทพที่จัดการสอนโดยไม่คิดค่าบริการเป็นการเสริมอาชีพ คุณปู่ก็เลยเล่าเรื่องอาชีพที่คนโบราณเชื่อว่าห้ามประกอบเพราะจะทำให้หมดเนื้อหมดตัวได้

หนึ่ง ช่างตัดผม
คุณปู่เล่าว่าหากเปิดร้านตัดผมอาจจะไม่ได้กำไร เนื่องจากว่าช่างตัดผมนั้นต้องใช้เวลานานในการตัดหนึ่งหัวและถ้าเปิดร้านเองก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นจำนวนมาก แต่หากเป็นช่างแล้วไปอยู่ตามร้านที่มีลูกค้าเยอะๆน่าจะเป็นการดีกว่า เพราะไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายแต่ตัดได้เท่าไรเราก็ได้เท่านั้น 

สองโรงภาพยนต์
เข้าใจว่าคุณปู่ที่อยู่มาหลายจังหวัดนั้น คงจะเคยพบเห็นโรงภาพยนต์ท้องทิ่นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีค่าใช้จ่ายเยอะแต่จำเป็นต้องเก็บค่าเข้าชมราคาน้อยเพราะถ้าเก็บราคาสูงอาจจะไม่มีใครเข้าไปชมทำให้ไม่ได้กำไรเท่าที่ควร ผู้เขียนมีความเห็นว่าสมัยปัจจุบันนั้นธุรกิจภาพยนต์มีการแข่งขันสูง แต่ราคาค่าเข้าชมก็สูงตามไปด้วย ประกอบกับภาพยนต์ที่เข้าฉายมีจำนวนมากผิดกับโรงภาพยนต์ท้องถิ่นที่มีภาพยนต์เข้าปีละไม่กี่เรื่องทำให้คนไม่อยากเข้าไปดูก็เป็นได้

สามร้านอาหาร
อันนี้อาจจะต้องเสริมเข้าไปว่าถ้าพ่อครัวทำอาหารไม่อร่อยก็ไม่ควรเปิด เพราะมีแต่ค้าใช้จ่าย ปู่เล่าเหมือนกับว่ามีคนรู้จักเปิดร้านอาหาร แล้วโดนขโมยของในร้าน เช่น ช้อนซ้อม จานชาม และอื่นๆ อีกทำให้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงขึ้น แต่คนเข้าร้านไม่ได้สูงตามทำให้ร่ายจ่ายมากกว่ารายรับและขาดทุนไปนั้นเอง ซึ้งผู้เขียนก็เคยเปิดร้านขายโจ๊กในห้างสรรพสินค้าและขาดทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเอง

สี่นักการเมือง
มีคำกล่าวว่าหากไม่พร้อมอย่างเล่นการเมือง หากเป็นคนซซื่อสัตย์ห้านเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด คุณปุ่มีเพื่อนักการเมืองที่ซื้อสัตย์ไม่โกงกินบ้านเมืองแต่มีฐานะดีเป็นเศรษฐีเก่าแต่ก็ต้องหมดตัว เพราะต้องนำเงินไปหาเสียงและช่วยชาวบ้าน โดยที่ตนเองไม่เคยโกงกินเงินหลวงหรือภาษีของประชาชนเลย ทำให้รายจ่ายมากกว่ารายได้มหาศาลและทำให้หมดตัวไปนั้นเอง

จริงๆแล้วอาชีพห้ามประกอบนั้นค้อนข้างเป็นความเห็นที่คุณปู่เล่าจากประสบการณ์ ผู้เขียนจึงเสริมความเห็นของคุณปู่ว่าอาชีพที่ห้ามประกอบจริงๆคืออาชีพที่ ไม่ถนัดมากกว่า กล่าวคือคำว่าไม่ถนัดประกอบด้วยความไม่รู้จริง ความไม่ชอบเป็นทุนเดิม และความขี้เกียจในนิสัย เพราะหากใครก็ตามทำอะไรบางอย่างด้วยความรักมักทำออกมาได้ดีเมื่อออกมาได้ดีประกอบกับความรู้จริง เช่น การตลาด ลูกค้า สถานที่ วัตถุดิบ กระบวนการ และไม่มีความขี้เกียจเข้ามาปนเปื้อนในชีวิต จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดๆก็ตามนั้นเอง

ช่างไม้

สิ่งหนึ่งที่คุณปู่ชอบทำมากหลังเกษียณคือการประดิษฐ์สิ่งของต่างด้วยไม้ ในวัยเด็กของผู้เขียนจำได้ว่าในบ้านมีช้างที่ตัวใหญ่ที่เกาะสลักจากไม้ คุณปู่จะใช้เวลาว่างในการขัดช้างตัวนั้นและลงชเลกเองด้วยตัวเองจนเสร็จถึงจะใช้เวลานาน หลังจากทำช้างเสร็จคุณปู่ก็ลงมือขัดเก้าอี้ไม้บริเวณชั้นลอยของบ้าน และซ้อมแซมส่วนที่สึกหรอและลงชเลกเอง แม้กระทั้งตั๋งไม้ (เก้าอี้ขนาดเล็กทำด้วยไม้) คุณปู่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในงานไม้จำนวนมาก และจะลงมือทำเองเสมอไม่ว่าจะเป็นการตัด การประกอบ การขัดด้วยกระดาษทราย การลงชเลก สามารถนำมาใช้งานได้จริงแม้กระทั้งกระดานหมากรุกคุณปู่ก็ลงมือทำเอง 

คุณปู่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงเพราะงานไม้นั้นจะว่าไปก็ไม่ง่ายเลยผู้เขียนเคยช่วยคุณปู่ขัดเก้าอี้ด้วยกระดาษทรายรู้เลยว่าเมื่อยมากและเหนื่อยไม่ใช้น้อยเลย แต่คุณปู่ก็ทำสำเร็จโดยดีเสมอมา แสดงให้เห็นถึงความวิริยะ อุตสาหะ ของคุณปู่นั้นเอง  


นักหมากรุก

ในวัยเด็กผู้เขียนชอบเล่นหมากรุกมาก โดยเฉพาะการเล่นหมากรุกกับพี่ชาย คุณปู่เล่าว่าในสมัยโบราณหมากรุกห้ามนำมาเล่นในบ้านเพราะจะทำให้เสียงานเสียการ การเล่นหมากรุกจะใช้เล่นกันในวัดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ เพราะการเล่นหมากรุกนั้นใช้เวลานานบางเกมส์เล่นกันหลายชั่วโมง ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นหมากรุกกับคุณปู่สมัยตอนเป็นเด็กแต่ไม่เคยสามารถเอาชนะคุณปู่ได้เลยซักครั้ง จนขึ้นเรียนชั้นมัธยมต้น ผู้เขียนเข้าชมรมหมากรุกของโรงเรียนและได้รางวัลอันดับหนึ่งของการแข่งขันกีฬาสี ก็กลับมาขอประลองกับคุณปู่อีกครั้งหนึ่งใช้เวลาเล่นประมาณสามชั่วโมงกว่าปรากฎว่าผู้เขียนสามารถเอาชนะคุณปู่ได้อย่างเฉียดฉิว หลังจากนั้นมาคุณปู่ก็ไม่เขียนเล่นหมากรุกกับผู้เขียนอีกเลย ผู้เขียนก็ต้องพาตัวเองไปแข่งตามที่ต่างๆ เช่นสนามหลวงแต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัลใด รางวัลสูงสุดที่เคยได้คือรางวัลหมากรุกเยาวชนอันดับเจ็ด หลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นมาอย่างยาวนาน

เป็นเรื่องที่เล่าที่ไรก็อมยิ้มเสมอ เสมือคุณปู่งอลที่ผู้เขียนสามารถเอาชนะได้ แต่เชื่อผมเถอะครับคุณปู่เล่นเก่งมากไม่เคยผิดพลาดในการเดินเลยซักครั้ง ผู้เขียนถึงไม่เคยชนะได้ แต่อาจด้วยคุณปู่อายุมากขึ้นทำให้ไม่สามารถนั่งเล่นเป็นเวลานานได้ เลยทำให้แพ้ผู้เขียนนั้นเอง

ไอ้แต้ม

มีเรื่องน่าชวนคิดอยู่ซักนิดเกี่ยวกับสุนัขที่บ้านเราเลี้ยงโดยปกติสุนัขที่บ้านเราเลี้ยงนั้นจะอยู่แต่บริเวณชั้นล่างของบ้าน มีแต่ไอ้แต้มตัวล่าสุดนี้ละที่มีโอกาสขึ้นมาอยู่บนบ้านได้ เสมือนคุณปู่รักสุนัขตัวนี้มาก แต่ผู้เขียนมีมุมมองที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ คุณปู่กระทำตนเป็นกาวสมานความสามัคคีให้กับคนในบ้าน และการที่ผู้เขียนเป็นคนนำไอ้แต้มเข้ามาเลี้ยงในบ้าน ผู้เขียนเข้าใจว่าคุณปู่คงไม่อยากขัดใจผู้เขียน แต่อยากให้ผู้เขียนสบายใจเลยไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนอะไร แค่คอยบอกให้ดูแลฉีดยาหาอาหารให้ดีเท่านั้น

คุณปู่แสดงให้เห็นถึงความอดทนและความเสียสละในฐานะผู้นำครอบครัว เพื่อที่จะให้ทุกคนในครอบครัวสบายใจ และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขนั้นเอง ผู้เขียนรู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวของผู้เขียน ที่ไม่เคยเข้าใจจิตใจของผู้เป็นปู่ และอยู่ในวัยเกษียณที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ต้องมานั่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในบ้านซื้งผู้เขียนมิอาจขอแก้ตัวได้อีกแล้ว

บทส่งท้าย

เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรวบรวมจากสมองหางอึ่งของผู้เขียน แต่ในความเป็นจริงนั้นคุณปู่มีเรื่องราวเรื่องเล่าอีกมากที่เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิต แต่ด้วยความโง่เขราเบาปัญญาของผู้เขียนทำให้ขณะที่คุณปู่ยังมีชีวิตและเล่าเรื่องการใช้ชีวิตนั้น ผู้เขียนมิได้จดบันทึกใดๆ เป็นความเสียดายอย่างสุดแสนหาสิ่งใดเปรียบได้

สุดท้ายนี้ขอให้ดวงวิญญาณของคุณปู่ไปสู่สุคติและผู้เขียนขอน้อมรับคำสอน คำดุ คำด่า การประพฤติตนเป็นแบบอย่างของคุณปู่ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้สมกับที่เกิดมาภายใต้ชื้อว่าเป็น หลานของ พล.ต.ต สันติ มลิทอง สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากเรื่องที่ผู้เขียนราบรวมมา เพื่อเป็นนิทานสอนใจและแสดงให้เห็นถีงการใช้ชีวิตที่น่ายกย่องควรแก่การเชิดชู ของคุณปู่ที่ผู้เขียนมิอาจเล่าคุณความดีได้หมดภายในระยะเวลาอันสั้น

อาลัยรัก
สิทธินันท์ มลิทอง
23 กุมภาพันธ์ 2559