วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

inspiration master

Inspiration Master by Ping Lumpraploeng

(ภูพิงค์  พังสอาด)



Preface

วันนี้พี่ พิง ลำพระเพลิง (อายุ 50) มาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตว่าทำไมถึงมีความสุขแม้ชีวิตจะไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่ทุกคนคิด และก็ไม่เรียบง่ายจริงๆครับ แต่ถ้าเขียนถึงพี่พิง ธรรมดาๆดูจะไม่สมน้ำสมเนื้อ ดังนั้นผมขออนุญาตพี่พิง โดยไม่ต้องรออนุมัติ ขอเขียนถึงบทเรียนที่พี่พิงมาแบ่งปันในมุมมองของผู้นำ จากหัวข้อ Inspiration Master (ผู้เชียวชาญการสร้างแรงบันดาลใจ) กลายเป็น Happy for Leader (ผู้นำที่มีความสุข(มั้ง)) เอาเป็นว่าในมุมมองของผู้นำจะสร้างความสุขให้ตนเองและผู้คนรอบข้างได้อย่างไรนั้น ลองติดตามดูกันครับ

พี่พิง เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลาสองชั่วโมง ขึ้นมาเตรียมตัวก่อนหนึ่งชั่วโมง มีอุปกรณ์ของตนเองติดตัวมาด้วย (มีไมค์ส่วนตัวมาเองครับ) โคตรเตรียมความพร้อมเลย มาถึงตรวจสอบสถานที อุปกรณ์ เสียง แสง ภาพ ทุกอย่างเรียกว่าพร้อมมาก ถึงมากที่สุด เป็นความมืออาชีพสุดๆ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือไม่มีความถือตัวครับ เจอผมก็ยกมือสวัสดีผมซะงั้น (พี่พิงอายุ 50) พูดคุยกันเล็กๆ น้อยตามประสา ไม่เคยเจอคนที่มาบรรยายหรือวิทยากร สนิทสนมและเป็นกันเองขนาดนี้ บางคนนี้หน้ายังไม่อยากจะมองเราเลย แต่พี่พิงไม่ครับ อบอุ่นเป็นกันเอง สุภาพและหยาบคายอย่างลงตัว (น่ารัก)

แล้วทำไมผมถึงนึกถึงผู้นำขึ้นมา พี่พิง เริ่มขึ้นเวทีจากการเล่นละครใบ้ ตรงนี้ละครับที่ผมสะดุดความเป็นผู้นำ เพราะผู้ที่มีความเป็นผู้นำคือผู้ที่สามารถ Influence ผู้อื่นได้ ในการแสดงละครพี่พิงจะเชิญผู้ฟังบางท่านขึ้นมามีส่วนร่วมบนเวที ซึ้งไม่มีการเตี้ยมกันมาก่อนหน้าแต่อย่างใด เชื่อไม่ครับว่าแก่เล่นละครใบ้แต่คนที่ขึ้นมาร่วมบนเวทีสามารถทำตามที่แกต้องการได้ทุกคนและทุกอย่างที่แกต้องการ อย่างละมุนละม่อม ไม่ว่าจะเป็นการยื่นกล้วยให้ทาน ยื่นฝาคุ๊กกี้ให้แล้วนำมาตีหัวพี่พิงได้(อันนี้สุดยอด) พาเจ้านายผมขึ้นเวทีและร่วมเล่นอย่างสนุกตามบทที่แกมีแต่ไม่เคยบอกใคร คำถามที่ผุดขึ้นในหัวผมคือ ทำอย่างไรคนถึงจะทำตาม และทำตามอย่างที่ไม่ต้องสั่งออกมาเป็นคำพูดอย่างถูกต้องและตรงเวลา ตอนแรกคิดว่าก็เพราะเป็นพี่พิงมีชื่อเสียง คนถึงขึ้นมาร่วมด้วยก็ต้องทำตามอยู่แล้ว แต่ผมว่าไม่น่าใช้ครับ เพราะภาษากายที่แกส่งออกมานั้น สื่อสารได้อย่างทรงพลังมากๆ ถึงขึ้นที่บางครั้งแค่หยุดอยู่เฉยๆ ก็สามารถบังคับให้คนฟังตบมือได้อย่างกึ่งก้อง ดังนั้นนี้ละครับบทเรียนสำหรับภาวะผู้นำ

ทำอะไรก็ตามให้ทำอย่างชำนาญหมายความว่าฝึกฝนอยู่เป็นนิจไม่ท้อทอย ไม่ขี้เกียจฝึกซ้อม อยู่กับสิ่งที่เป็นเรารักในสิ่งที่เราทำ เราก็จะมีความสุขและชำนาญเป็นมืออาชีพแบบไม่รู้ตัว ส่วนบทเรียนที่พี่พิงนำมาแบ่งปันสร้างความสุขให้แก่กันในวันนี้มีดังต่อไปนี้ครับ

เริ่มจากสิ่งเล็กๆ 

พี่พิงมีผลงานชิ้นแรกที่ภาคภูมิใจคือ หนังสือเรื่อง "แกงไก่ล้างโลก" ฟังแล้วก็.... น่าอ่านครับ แค่ฟังชื่อก็ขนลุกอยากออกไปซื้อมาหาอ่านแล้วครับ พี่พิงได้แรงบันดาลใจมาจากวันที่ ฝนตกหนักแล้วแกอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหนแต่หิวข้าวอยากกินแกงไก่ ก็เลยคิดว่าถ้าฝนที่ตกลงมาเป็นแกงไก่ จะดีขนาดไหนข้าวก็มีอยู่ในบ้านไม่ต้องออกไปซื้อหา แกก็เลยลงมือเขียนลงไดอารี่ เล่มเล็กๆด้วยลายมือแกเอง แต่แกก็ไม่ได้คิดอะไรใหญ่โต แค่อยากเขียนจึงเขียน ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นหนังสือเล่มใหญ่ แต่แค่อยากเขียนก็เขียน (เหมือนผมในขณะนี้เลยครับ) จากนั้นก็แกก็ลองนำผลงานไปนำเสนอ แกเล่าว่า บก. อ่านแล้วก็หยิบไปกองไว้กับเอกสารเตรียมทำลาย(อันนี้เศร้า) แต่โชคดี มีคนหยิบไปอ่านแล้วชอบเลยเรียกพี่พิงไปคุยมาไม่ต้องเขียนมาลงนิตยาสาร ไปเขียนมาเพิ่มอีกแล้วรวมเล่มขายไปเลย หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนพี่พิงก็กลับมาวางต้นฉบับตรงหน้า บก. ถึงกับถามว่าทำไมเร็วจังแค่หนึ่งเดือนเอง พี่พิงตอบว่า กลัวพี่ บก. จะตายก่อนเลยรีบสุดชีวิต จากนั้นก็ได้ร่วมเล่มขาย และขายดีด้วย

บทเรียนผู้นำ จะทำอะไรก็ลงมือทำเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไม่สำคัญอยู่ที่ว่า เราได้ลงมือทำหรือไม่ ถ้าต้องมานั่งรอให้มีความพร้อมก่อนงานเล็กๆไม่รอแต่งานใหญ่ๆ หรือรอให้มีความพร้อมก่อนนั้นอาจจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว คนเราเกิดมาก็ไม่ได้มีชีวิตยาวนานจะมั่วมานั่งรอความตายอยู่ใย ใยไม่ลงมือทำให้รู้แล้วรู้รอดไป ทำแล้วไม่เวิร์คก็ทำใหม่ จะเริ่มใหม่กี่ครั้งไม่มีใครว่า แต่ไม่ยอมเริ่มเสียทีก็ไม่ต้องให้ใครมาว่าหรอกครับ รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว

ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่ใหน ผู้นำก็ควรที่จะลงมือทำ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้ตาม หากผู้นำไม่ทำแล้วใครจะกล้าทำละครับ หากผู้นำไม่เริ่มแล้วใครหน้าไหนจะกล้าเริ่มกัน และที่สำคัญทำจากสิ่งที่เล็กๆก่อนแล้วสิ่งใหญ่ๆที่คุ้มค่าจะตามมาเองครับ

อยู่ที่มุมมอง

เรื่องนี้มีอยู่ว่า หลังจากที่หนังสือเรื่อง "แกงไก่ล้างโลก" ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า พี่พิงแกเลยออกมาเปิดสำนักพิมพ์เองครับ สำนักพิมพ์ชื่อ "สำนักพิมพ์พิลาไลย" แต่ปรากฎว่า เจ๊ง ไม่เป็นท่าเป็นหนีหลายแสน แกก็บินครับ บินไปล้างจานอยู่ที่อเมริกา ถึงสองปีเพื่อเก็บเงินใช้หนี จากนั้นก็บินกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับบทนักแสดงประกอบฉาก แต่ด้วยความที่เป็นคนมีใจรักและมีคนเห็นคุณค่า ทำให้พี่พิงได้กลับมาเป็นผู้เขียนบทละครอีกครั้งหนึ่งและประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

พี่พิงแกเล่าว่าคนส่วนใหญ่คิดว่าแกลำบากสู้ชีวิต เหน็ดเหนื่อยไปล้างจานถึงต่างประเทศ เพื่อเก็บเงินใช้หนี้ ถึงขั้นขายบ้านขายรถเพื่อออกเดินทางถึงขึ้นที่ว่าไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว แต่ความเป็นจริงที่แกเล่าคือก็ไม่ได้ลำบากอะไร เวลาเดินทางก็ขึ้นเครื่องบินไปสบายจะตาย ใช่ว่านั่งใต้ท้องเรือสำเภาไปซะที่ไหน อยู่ทำงานล้างจานก็ทำงานแค่สองช่วงเวลาคือช่วงเที่ยง และช่วงเย็น อาหารการกินก็ดีมีพร้อมมีภรรยาเป็นแม่ครัว อาหารก็ไม่ขาดปาก เรียกว่าอยู่สบายๆเลยนี้ละครับ

บทเรียนผู้นำ มุมมองที่เรามองตนเองนั้นสำคัญ บางทีมีคนมองจากภายนอกดูเราจะยากลำบากแต่เราต่างหากที่เป็นผู้รู้จริงว่าจะเลือกมองว่าปัญหาคือความลำบาก แต่หากเราสามารถเปลี่ยนมุมมองได้นั้นถึงเราจะต้องทำงานที่ลำบากยากเย็นขนาดไหน แต่เราก็จะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่เป็นและสิ่งที่อยู่กับเราทุกเวลานั้นเอง รวมไปถึงการคิดบวก ลองคิดดูว่าถ้าท่านทำงาน สิบชั่วโมงต่อวัน หกวันต่อสัปดาห์ ออกจากบ้านตีห้า ถึงบ้านห้าทุ่ม แล้วไม่พอเรายังมีความคิดลบๆ โทษโน้นโทษนี้ทั่วไปหมด ไม่มีอะไรหรือใครที่ดีเท่ากับตนเองเลย แล้วเราจะทนอยู่ความคิดลบอยู่ทำไมละครับ ถ้าเราเปลี่ยนไปมองมุมบวกบ้างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องที่อยากรู้และมีความชำญ คำถามคือร่างกายเหนื่อยเหมือนเดิมแต่ทำไมเราต้องยอมให้จิตใจต้องเหนื่อยตามไปด้วย เพราะจิตใจเกิดขึ้นได้จากความคิด ไม่ต้องลงทุนลงแรง สมองก็คิดอยู่แล้ววันละกว่า 60,000 ความคิด ก็แค่ลองคิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นโฟกัสแต่สิ่งที่ดีที่เราเรียนรู้ได้จากสถานการณ์นั้น คนๆนั้น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่รอบตัวเรานั้นเอง

ไม่ทำแล้วจะเสียใจ

ปกติผู้เขียนบทภาพยนต์จะได้รับค่าจ้างอยู่ที่ประมาณเรื่องละ 1,000,000 บาทและเปอร์เซ็นจากกำไร ประมาณ 2,000,000 บาท รวมแล้วก็ประมาณ 3,000,000 กว่าบาท แต่มีภาพยนต์อยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนบทภาพยนต์ขอแสดงเองกำกับเอง และยื่นข้อเสนอกับนายทุนว่าตนเองจะไม่รับค้าจ้างแม้แต่บาทเดียวเพื่อให้นายทุน ยอมเปิดกองถ่ายให้ ภาพยนต์เรื่องนี้ชื่อ "ฝันโคตรโคตร" เขียนบทโดยพิง เล่นบทนำโดยพิง กำกับโดยพิง พี่พิงเล่าว่าอยากเล่นบทนี้มากมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ได้เล่นจะเสียใจมากๆ แกบอกว่าถ้าเอาแค่เขียนบทก็ได้อยู่แล้ว 3,000,000 กว่าบาทแต่แกยอมที่จะยื่นข้อเสนอไม่รับเงินเพื่อแสดงเองและกำกับเอง แกกลัวว่าถ้าไม่ลงมือทำเองแล้วอนาคตจะมานั่งเสียใจและคงจะนึกถึงอยู่แต่อดีตว่าถ้าเราได้ทำ เราจะเป็นอย่างไรรู้สึกอย่างไร ทำให้แกกล้าที่จะยื่นข้อเสนอที่จะไม่รับเงินจากนายทุน เพื่อที่จะได้เขียนบทเอง แสดงเอง และกำกับเอง ตามที่ใจปราถนา และออกมาดีมากๆด้วยครับ

บทเรียนผู้นำ บางครั้งการตัดสินใจก็ต้องใช้ความรวดเร็วสมเหตุสมผล แต่ในขณะหนึ่งนั้นความสมเหตุสมผล ความถูกต้อง อาจจะไม่เวิร์คก็ได้ครับ เพราะเราย่อมรู้ตัวของเราอยู่แล้ว จะทิ้งความสุขไปใย เงินทองข้างหน้าก็หาได้แต่เหตุการในอดีตไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นผู้นำครับถ้าท่านต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ท่านคิดว่าทำแล้วจะรู้สึกดีกับส่งนั้นในอนาคต ท่านทำเถอะครับ ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ทำให้ใครเดือนร้อน และต้องลงมือทำด้วยความมุ่งมันทุ่มเทออกมาจากหัวใจอย่างไม่ย้อท้อด้วยนะครับ

Infer

โดยสรุปแล้ว จะทำอะไรก็ลงมือทำซะ ทำด้วยทัศนคติดีๆ และลงมือทำด้วยความรักชนิดที่จะไม่รู้สึกเสียดายที่หลัง ทุกคนมีทางเลือกครับ อยู่ที่เราว่าจะเลือกทางเดินที่ดีมีประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม ประเทศชาติ รวมถึงโลกทั้งใบ นั้นก็อยู่ที่เราเลือกจะสนใจและใส่ใจให้มากขึ้น หรือจะย้ำอยู่กับที่และคอยได้แต่บ่นถึงอดีตว่าน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ อยู่แต่กับความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น หล่าวผู้นำทั้งหลายครับ อยู่ที่ตัวท่านเลือกแล้วครับ

สิทธินันท์ มลิทอง
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกชีวิตก้าวเดินอย่างมีความสุขครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น