วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เรื่องเล่าจ้าวคุณปู่


เรื่องเล่าจ้าวคุณปู่



บทนำ

21 กุมภาพันธ์ 2559 21.30 น.
บ้านโชคชัย 4 (บ้านคุณปู่)

เรื่องที่ท่านผู้อ่านต่อไปนี้เป็นการรวบรวมเรื่องที่ คุณปู่ (พล.ต.ต สันติ มลิทอง) ผู้ล่วงลับ เคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ตั้งแต่สมัยเด็กๆ รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ปู่ได้พึงปฎิบัติ พึงกระทำตนให้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และเพื่อเป็นการราบรวมเรื่องราวที่มีประโยชน์ รวมถึงรวบรวมไว้เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่ปู่มอบให้หาสิ่งใดเปรียบได้ และเพื่อให้เรื่องราวของคุณปู่จะยังคงอยู่ในใจของครอบครัวตลอด นิรันดร์ตราบชั่วฟ้าดินสลาย 

และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณคุณปู่ที่ล่วงลับ ผู้เขียนขอให้สัญญาว่า จะประพฤติตน ตามแบบคุณปู่ที่เป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทั้งความขยัน ความอดทน ความเสียสละ ความมัธยัถส์ และสิ่งๆต่างที่มิอาจกล่าวหมดได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์มิมากก็มิน้อยกว่าก่อนได้อ่านเรื่องราวต่อไปนี้

อนึ่งผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวจากความทรงจำในสมองเท่าหางอึ่ง ดังนั้นเรื่องราวบางเรื่องอาจเป็นการผสมเติมเต็ม ทั้งเรื่องที่คุณปู่เล่าให้ฟัง บางเรื่องคุณปู่ก็อ่านมาเล่าให้ฟัง หรือฟังมาเล่าอีกต่อ รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่คุณปู่ทำ บางครั้งก็แฝงความหมายที่มิอาจประมาณ บางเรื่องก็ชวนขันแบบมีสาระ ซึ้งผู้เขียนพยายามใช้ความรู้เท่าหางอึ่งประมวล วิเคราะห์และสังเคราะห์ ออกมาให้อยู่ในรูปแบบของการอ่านและสามารถสร้างประโยชน์ เป็นข้อคิด สติเตือนใจ ให้กับท่านผู้อ่านอย่างสุดความสามารถ

ตำรวจเก้าเม็ด

พูดถึงเรื่องตำรวจและมีความว่าเม็ดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอาจเหมือนเรื่องบู้สะบั่นหันแหลก หรือเรื่องตำรวจจับผู้ร้ายสุดสนุก แต่ไม่ใช่เลยครับ เป็นเรื่องชวนขัน ที่คุณปู่จะเล่าทุกครั้งที่มีการกินยาเม็ดเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องมีอยู่อย่างนี้ครับ ในอดีตปู่มีลูกน้องเป็นตำรวจ เกิดอาการไม่สบายต้องไปหาหมอ คุณหมอตรวจอาการเป็นอย่างดีและแจ้งให้ลูกน้องปู่ว่ามีอาการไข้ไม่สบาย จึงสั่งยาให้ไปกินที่บ้านและรอดูอาการ หมอสั่งว่าเมื่อยาหมดแต่อาการไข้ไม่หาย ให้กลับมาดูอาการอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่าหลังจากกลับมาบ้าน พักผ่อนได้หนึ่งวัน ลูกน้องปู่ก็กลับไปหาหมออีกครั้ง คุณหมอตกใจมากนึกว่ามีอาการหนักขึ้น พอคุณหมอถามไถ่ ได้คำตอบคือ กินยาหมดแล้วแต่เหมือนอาการแย่ลง เลยรีบมาหาหมอ หมอแปลกใจเพราะหมอสั่งยาให้กินได้ถึงเก้าวัน ทำไมผ่านไปวันเดียวถึงกลับมาหาหมออีก ลูกน้องปู่บอก ก็หน้าถุงยาเขียนให้กินครั้งละเก้าเม็ด หมอตกใจอีกครั้ง หมอบอกว่า ให้ทานครั้งละเม็ด ต่างคนต่างเถียงกันครับ แต่หมอก็สามารถล้างท้องและช่วยลูกน้องปู่ให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่พอตรวจดูถุงยาให้ดีแล้ว หมอใช้เลขไทยเขียนเป็นเลขหนึ่ง ๑ แต่ลูกน้องปู่ดูเป็นเลขเก้า 9 ซึ้งมีการเขียนคล้ายคลึงกันนี้เอง

แสดงให้เห็นถึงความผิดผลาดที่เล็กๆน้อยๆ และการเข้าใจผิดที่อาจร้ายแรงถึงชีวิตเลยที่เดียว ผู้เขียนพึงเตือนท่านผู้อ่านให้ดี ก่อนทานยาทุกครั้งไป

น้ำเปล่าใส่สะอาด

เรื่องจริงที่ยังไม่เคยมีใครทำวิจัยและน่าสนใจยิ่ง คุณปู่มีลูกสาวคนเล็กชื่อ คำเขื่อนแก้ว (อาก้อย) ตั้งชื่อตามอำเภอที่เกิดคืออำเภอคำเขื่อนแก้ว นั้นเอง อาก้อยเป็นลูกคนสาวคนเล็ก คุณปู่มีลูกทั้งหมดห้าคน ประกอบด้วยลูกชายคนโต รักษ์สันติ มลิทอง (เจียบ) ชื่อรักษ์สันติซึ้งเป็นลูกคนแรกและได้รับความรักมาก จึงตั้งชื่อลูกคนแรกด้วยความรัก กล่าวคือ รักษ์มาจากชื่อคุณย่าคือ อารีรักษ์ มลิทอง และ สันติ มาจากชื่อปู่คือ สันติ มลิทอง นำมารวมกันว่า รักษ์สันติ มลิทอง ซึ้งผู้เขียนจะนำไปเป็นแบบอย่างการตั้งชื่อลูกคนแรกของผู้เขียนด้วย ลูกคนที่สองเป็นลูกสาวชื่อ วิรงค์รอง ฟางสะอาด (ไก่) คนที่สามลูกชาย แสนอุดม มลิทอง (กุ๊ก) คนที่สี่ลูกสาว คำเขื่อนแก้ว พะมะราพา (ก้อย) และคนสุดท้ายลูกชาย ดำรงค์รักษ มลิทอง (กอง เพื่อนๆเรียก ดำ) 

เรื่องมีอยู่ว่าตอน ลูกสาวคนเล็ก เป็นเด็กนั้น คุณปู่ตั้งขวดน้ำมันก๊าดไว้ข้างๆ ตู้เย็น ปรากฏว่าวันหนึ่ง น้ำมันก๊าดในขวดหายไปหมด และลูกสาวคนเล็กเกิดอาการถ่ายพยาธิ และปู่ทำการสอบสวน ปรากฎว่าลูกสาวคนเล็กนี้เองยกขวดน้ำมันก๊าด ดื่มจนหมดขวดด้วยคิดว่าเป็นน้ำเปล่า ที่มีความใส่และไร้กลิ่น เรื่องราวเหมือนปาฎิหาย์ ลูกสาวคนเล็กไม่เป็นอะไรเลยและได้พลังพิเศษมาครอบครองคือตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยปรากฎว่ามีพยาธิอยู่ในตัวเลย แต่ผู้เขียนไม่ส่งเสริมให้ท่านผู้อ่านลองดื่มน้ำมันก๊าดดูเด็ดขาด เพราะแต่ละคนย่อมมีธาติแตกต่างกัน เรื่องนี้ปู่ชอบเล่าเวลาดื่มน้ำเปล่าหรือตอนใช้น้ำมันก๊าดผสมกับสีทาไม้ ตลอดหลายครั้ง

ดังนั้นปู่จะบอกเสมอบ้านไหนมีเด็กเล็ก อย่าวางสิ่งของที่เป็นอันตรายไว้ไกลมือเด็ก และไม่ปรากฎว่ามีลูกคนใด ได้ลิ้มลองน้ำมันก๊าดอีกเลย

ไปไหนฉันก็รู้ 

บ้านไหนมีเด็กผู้ชาย และมีรถหลายคัน น่าจะเคยประสบพบเรื่องราวคล้ายๆต่อไปนี้ คือ ลูกชายมักจะเคยแอบขัยรถออกไปเที่ยวที่ต่างๆ ก่อนที่ผู้ปกครองจะอนุญาต เรียกได้ว่าเป็นความกลัดมันของเด็กชายที่ชอบการเป็นที่ยอมรับนั้นเอง เรื่องนี้มีอยู่ว่า หลานชายคนโต อิทธิกร เลาหะพันธ์ (โอ๊ต) ขับรถไปเรียนตามปกติแต่เช้า และกลับมาถึงบ้านตอนค่ำ ปู่ก็ถามวันนี้ไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง หลานโอ๊ตก็ตอบ ไปเรียนปกติไม่มีอะไรพิเศษ ปู่ตอบกลับไปว่า ขับรถไปเรียนไกลเนอะ ตั้งสองร้อยกว่ากิโล หน้าซีดกันเป็นแถบครับ สืบทราบมาตอนหลังว่าปู่ แอบจดเลขไมค์รถ เป็นประจำทำให้รู้ว่าใครขับรถไปไหนมาไหนกี่กิโล สุดท้ายหลานโอ๊ต ก็ต้องเฉลยว่า ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดมา จริงๆไม่ใช่หลานโอ๊ตคนเดียวครับ ผู้เขียนก็เคยเจอปู่เล่นไม้นี้ออกมาเหมือนกัน 

สิ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้คือ การตำนิ หรือการแนะนำนั้น ต้องมีหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ มิฉะนั้นหากใช้ทัศนคติมาตัดสินจะทำให้ไม่สามารถปกครองคนทั้งกายและใจได้อย่างสันตินั้นเอง นี้คือหลักการแรกๆที่คุณปู่ใช้ในการปกครองครับครัวนั้นเองครับ

หอยหลอดจับง่ายนิดเดียว

สมัยเด็กๆ คุณปู่ได้เคยพาผู้เขียนและคนในครอบครัวไปเที่ยวดอนหอยหลอด จังหวัดสมุดสงคราม ซึ้งการจับหอยหลอดนั้นต้องใช้ไม้จิ้มปูนขาว ก่อนนำไม้ที่มีปูนขาวติดอยู่ ไปจิ้มลงในรูหอยหลอด เพื่อให้หอยหลอดเกิดอาการเมาและดิ้นออกมาบนผิวดินให้ผู้ที่จิ้มเก็บใส่กระป๋องได้โดยง่าย และคำว่าง่ายนั้นถ้ามิใช้ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้และไม่ได้ทำโดยชำนาญนั้น ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยครับ ผู้เขียนใช้เวลานับชั่วโมงกว่าจะจับได้หลายตัว จนแทบหมดความอดทนเลยที่เดียว เพราะแดดก็ร้อนเดินก็ยากเพราะเป็นที่ดอน เป็นดินชายเลน พอไกล้จะหมดความอดทนก็หันไปหาปู่ที่เดินแหย่หอยหลอดอยู่ไม่ไกลนัก ปู่ถือหอยหลอดอยู่เต็มถุงมากถึงสองถุงเลยทีเดียว ผู้เขียนถึงขั้นตกใจครับ ประมาณว่า ไอ้เราแหย่ตั้งนานกว่าจะได้ซักตัว คุณปู่แหย่แป็ปเดียวได้ตั้งสองถุง คุณปู่เดินกลับมาบอกฉันแหย่จนถือไม่ไหวแล้วขึ้นฝังได้ แต่แล้วความจริงก็ปรากฎเมื่อคนแหย่หอยหลอดขายเป็นอาชีพอยู่บริเวณนั้น นำเงินมาทอนคุณปู่ ปู่ก็ยิ้มเย๋เก เหมือนจะแกล้งอำหลาน 

สรุปคือปู่ไปซื้อมานั้นเอง ปู่บอกจะเสียเวลาจิ้มให้เหนื่อยไปทำไม ฮ่าฮ่าฮ่า ชนะเลิศครับ ความรู้จักพลิกแพลงนี้เองของคุณปู่ที่ช่วยให้ผู้เขียนสามารถผ่านปัญหาต่างๆที่เข้ามา หากเราสามารถใช้สติปัญญาเข้าแก้ปัญหาเพื่อแปลงออกเป็นช่องทางให้เราผ่านไปได้นั้นเอง

4 สิ่งพึงระวัง   

จริงๆแล้วเรื่องนี้น่าจะมีผู้อื่นอีกมากมายได้กล่าวถึงและมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง คุณปู่มักเล่าเรื่องนี้เสมอเวลารับประทานอาหารร่วมกัน ปู่เล่าถึงสี่อย่างพึงระวัง เพราะทั้งสี่นี้เรามิอาจคาดเดาได้เลย 

หนึ่งสัตว์หน้าขนพึงระวัง

กล่าวคือเรามิอาจคาดเดาความคิดของสัตว์หน้าขนได้เลยว่ามีความคิดหรือสิ่งที่จะกระทำออกมา บางครั้งก็ออกมาอย่างเป็นมิตรบางครั้งก็ดุร้ายอย่างน่าพึงพลัน เช่น สุนัขบางตัวก็ทำตัวหน้ารักน่าเอ็นดู บางตัวก็ดุร้ายกันคนที่เข้าไกล ทำให้เรามิอาจคาดเดาได้ ปู่จึงบอกเสมอว่าเมื่อเจอสัตว์หน้าขนให้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง

สองทะเลสงบพึงระวัง 

ทะเลสงบนี้น่าจะมีที่มาจากประสบการณ์หรือเรื่องเล่าในพื้นที่ใกล้ทะเลที่ปู่เคยปฎิบัติหน้าที่อยู่ ทะเลนั้นเมื่อสงบก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น คลื่นใต้น้ำที่ดึงคนลงใต้ทะเลและเสียชีวิตจากอาการขาดอากาศหายใจ และปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอ หรือ การเกิดคลื่นซึนามิที่เรามิอาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นถ้าเราไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยในการวิเคราะห์ทางทะเล และคลื่นพัดออก เช่นเวลาที่เราว่ายน้ำและโดนคลื่นพัดออกจากฝั่งจนทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่อาจว่ายเข้าฝังได้ นั้นละครับคือความน่ากลัวของทะเล ที่เรามิอาจคาดเดาได้

สามนารีร้อยเล่มเกวียน

สุราและนารีเป็นบ่อเกิดแห่งจุดจบของผู้ชายตั้งแต่ผู้ที่ตำต้อยจนถึงผู้นำโลก ที่มีนารีเข้ามาเกี่ยวข้องและมีแรงอิจฉาริษยา มักจะนำมาซึ้งจุดจบของชายนั้นดังที่ปรากฎอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์โลกด้วยนั้นเอง ดังนั้นการครองเรือนของชายใดต้องใช้ความระวัดระวังยิ่งในการฟัง และหญิงใดก็ตามตั้งพึงระลึกถึงความเสียหายของการกระทำของตนอย่าเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ผู้คนรอบข้างเดือนร้อนนั้นเอง

สี่พระมหากษัตย์องค์ราชัน

ในสมัยโบราณนั้นว่ากันว่า เจ้าแผ่นดินมีอำนาจเหมือนทุกชีวิต สามารถสั่งกุดหัวใครก็ได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าอยู่หัวมีโอกาศ โดนกุดหัวได้ตลอดเวลาจึงต้องพึงสังวรและระมัดระวังตนอยู่เสมอๆ ในสิ่งที่สี่นี้ผู้เขียนอยากให้รวมถึงผู้มีอำนาจด้วย เพราะผู้มีอำนาจสมัยนี้ชอบแสวงหาประโยชน์เข้าตนเอง และเพื่อให้ได้สิ่งนั้นก็สามารถเล่นละครตบตาคนทั้งโลกก็ยอม เช่น วันหนึ่งเคยโจมตีใส่กัน พอจบเรื่องก็มานั่งรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน เป็ละครที่สร้างความเดือนร้อนให้กับผู้อื่นมหาศาล

ผู้เขียนจึงขอฝากให้ท่านผู้อ่านพึงระลึก ถึงความระมัดระวังในการใช้ชีวิตนั้นเอง

เสียงปริศนา

คุณปู่เป็นตำรวจที่รับผิดชอบคดีเล็กใหญ่จำนวนมาก หนึ่งในคดีที่ปู่เล่าถึงมากที่สุดคือ คดีที่หญิงสาวถูกฆาตกรรมบนภูเขาที่ห่างไกลผู็คนและคุณปู่ต้องเข้าไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ คุณปู่ไม่ได้เล่าต่อว่าจับคนร้ายได้หรือไม่ จุดที่ปู่เล่าคือเรื่องการลงข่าวของหนังสือพิมพ์ คุณปู่เล่าว่า หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นว่า หญิงสาววิ่งหนีคนร้ายขึ้นไปบนภูเขาและร้องขอความช่วยเหลือตลอดเวลา หลังจากถูกคนร้ายทำร้ายจนใกล้ถึงแก่ความตายหญิงสาวร้องอย่างโหยหวนเป็นที่น่ากลัวนัก คุณปู่เล่ามาถึงตรงนี้ก็เล่าต่อว่า นักข่าวมันได้ยินเสียงหญิงสาวแล้วทำไมไม่เข้าไปช่วย แต่ความเป็นจริงคือไม่เคยมีใครได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือและสถานที่เกิดเหตุก็อยู่ไกลจากบ้านเรือนของคนแถวนั้นมากไม่มีทางได้ยินได้เลย แล้วนักข่าวจะไปได้ยินได้อย่างไร เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า การรับข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เข้ามานั้นตั้งระวังและวิเคราะห์ให้ดีก่อนเสมอ

ปู่สอนเสมอว่าฟังอะไรก็แล้วแต่มาเราอย่าเพิ่งเชื่อแต่ให้หาข้อพิสูจน์มาให้ได้ก่อน เพราะบางครั้งอาจเป็นเรื่องที่ไม่มีเค้าโครงของความเป็นจริงเลยก็ได้นั้นเอง

มะม่วงสุก

จริงๆแล้วคุณปู่ชอบกินมะม่วงมาก โดยกินคู่กับข้าวเหนียวมูล ยิ่งถ้าเป็นข้าวเหนียวมูล ช. สรแก้ว ละก็สุดชอบเลยละครับ เรื่องมันอยู่ตรงนี้ละครับ คุณปู่เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะมีผู้คนนำของมาเยี่ยมที่บ้านเยอะมาก ตามแต่เทศกาลหรือสะดวกใครผ่านไปผ่านมาที่กรุงเทพ ดังนั้นบ้านเราจะมีผลไม้หรือของกินต่างๆเยอะ เรื่องตลกคือปกติเมื่อได้มาเยอะเราก็กินไม่ทันแจกก็ยังเหลือ ดังนั้นเมื่อได้ของใหม่มาเราจะเก็บไว้ก่อนแล้วเอาของที่ใกล้จะเสียมาทาน แล้ววันหนึ่งปู่ก็บอกว่า เราจะมานั่งกินของเก่าที่ใกล้จะเสียทำไมน่ะ ทำไมไม่เอาของใหม่มาทานกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อมีของใหม่มาเราก็จะทานของใหม่กัน ส่วนของเก่าก็เอาไปแปรรูปตามแต่ใจปราถนาของคุณแม่ที่เป็นแม่ครัวนั้นเอง

ในบางครั้งคนเราที่มีเหตุผลก็ทำอะไรที่ดูมีเหตุผลแบบไร้เหตุผล โดยไม่ทันได้ฉุดคิดเลย ดังนั้นหากบางที่เราได้หยุดคิด ถึงความเคยชินที่เราทำอยู่เป็นประจำเราอาจจะทำอะไรโดยมีเหตุผลขึ้นมาบ้างก็ได้

กุ้งสิบบาท 

สมัยนี้ใครซื้อกุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่ทานได้นี้ ค่อนข้างที่จะมีสตางค์พอสมควรเลยที่เดียวครับ ตัวใหญ่นี้ตอนนี้กิโลกรัมละประมาณ แปดถึงเก้าร้อยเลยที่เดียว ถ้าเข้าร้านอาหารที่ปรุงสุกแล้วคาดว่าน่าจะราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่าสองพันเป็นแน่ๆ ขนาดประมาณ สองตัวโล ประมาณนั้นละครับ บ้านเราก็ชอบครับชอบทานกุ้ง แต่ส่วนใหญ่จะซื้อสดๆ มาเผาที่บ้านไปซื้อที่ตลาดเช้าบ้างตามห้างบ้างแต่ไม่ได้ทานบ่อยนะครับนานๆครั้ง แต่ที่คุณปู่ดูท่าจะชอบพอสมควรคือ กุ้งนึ่งที่ อตก. ทานพร้อมกับมันกุ้งสด ถ้ามันกุ้งเหลืออีกวันก็นำมาผัดกับข้าวผัดอร่อยไม่แพ้ ภัตตาคารเลยละครับ

ปู่เล่าว่าสมัยที่กุ้งมีอยู่เต็มแม่น้ำ ราคาจะถูกมาก ถึงมากที่สุด จะมีคนนึ่งกุ้งมาหิ้วขายตามสถานีรถไฟ ตัวละสิบบาท แค่ฟังปู่เล่าแล้วก็อยากย้อยกลับไปซื้อกินมากๆ เรื่องที่คุณปู่เล่านี้แฝงถึงวัฒนธรรมการรับประทานที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม และการกินอยู่เรียกได้ว่า ทรัพยากรมากราคาถูก ทรัพยากรน้อยคนต้องการมากราคาแพง ตามกฎดีมาน ซัพพาย ประมาณนั้นเลยละครับ

ปลาเก๋าจริงหรือ

ปลาเก๋านี้ผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะเคยได้รับประทานมาบ้างตามร้านอาหารทั่วไป ล่าสุดผู้เขียนได้มีโอกาสไปทานปลาเก๋า ที่ร้านข้าวต้ม โดยนำปลาเก๋ามาทอดกระเทียม ก็อร่อยพอใช้ได้ตัวใหญ่กำลังดี ความสดก็พอควร แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าอร่อยขั้นเทพ แต่ผู้เขียนกลับตกใจมากเมื่อถึงเวลาคิดราคาค่าอาหาร ปรากฎว่าปลาเก๋านั้นราคาสูงถึงจากละ แปดร้อยบาททีเดียว พอคุณปู่เห็นราคาคุณปู่ก็เล่าเรื่องเก่าสมัยเป็นผู้การอยู่จังหวัดติดชายทะเลว่า

สมัยก่อนชาวประมงที่จับปลาเก๋าได้ถือว่ามีดวงไม่ดีหรือดวงซวยนั้นเอง เพราะไม่มีใครนำมาประกอบอาหารรับประทาน เรียกได้ว่าถ้าจับได้ก็ต้องโยนทิ้งลงทะเล อย่างดีก็นำมาขูดและทำให้สุขเพื่อเป็นอาหารสุนัขทั่วไป เรียกได้ว่าไร้ราคาถึงขั้นที่ถ้าได้มาอาจขาดทุนเสียด้วยซ้ำ คุณปู่เล่าว่าอาจเป็นเพราะหน้าตาของปลาเก๋าที่ดูหน้าตาไม่สวยและออกแนวน่าเกรียดกระมั่ง แต่สมัยนี้กลับกลายเป็นว่าเป็นปลาที่มีราคาแพงพอสมควรแถมมีคนสั่งทั่วไปในร้านอาหารซะอย่างนั้น ดังนั้นแล้วความพิเศษในยุคสมัยหนึ่งอาจไร้ค่า แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปความพิเศษนั้นอาจแสดงออกมาก็เป็นได้

ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านทุกท่านที่กำลังรอเวลาเพื่อแสดงความพิเศษของตนให้โลกที่กำลังรอคอย ได้ประจักษ์และแย่งกันชมความพิเศษนั้นๆ โดยไม่ย้อท้อต่อความยากลำบาก เสมือนปลาเก๋าที่ต้องใช้เวลานานกว่าที่ผู้คนจะสั่งขึ้นมาทานบนโต๊ะอาหาร ด้วยราคาถึงจานละ แปดร้อยบาทนั้นเอง

สูตรหมูกรอบ

บ่งตง ภาษาวัยรุ่นแปลว่า บอกตรงๆ ว่าผู้เขียนนั้นโชคดีมากที่ได้มีโอกาสรับประทานหมูกรอบที่มี พ่อครัวเป็นถึงนายพล หรือก็คือ พล.ต.ต สันติ มลิทอง คุณปู่ของผู้เขียนนั้นเอง ในการทำหมูกรอบนั้นคุณปู่ตั้งใช้เวลานานกว่า สองถึงสามวันจะได้รับประทาน ที่คุณปู่ลงมือเองก็มิอาจทราบได้ว่าไปอ่านเจอสูตรมาหรือว่าเกิดนึกสนุกลองทำรับประทานเอง แต่ผู้เขียนขอบอกตรงๆเลยว่าอร่อยมาก และถือโอกาสนี้ แนะนำหมูกรอบสูตรนายพลที่สามารถลองทำรับประทานได้ที่บ้าน

เริ่มแรกเลยหาซิ้อหมูสามชั้น ตามตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้าก็ได้ จากนั้นนำมาล้างทำความสะอาดนำขนหมูที่ติดอยู่ตามหนังออกให้หมดมิฉะนั้นจะไม่น่ารับประทาน เมื่อได้แล้วหันเป็นชิ้นยาวประมาณหนึ่งคืบ หนาประมาณ สองนิ้ว จากนั้นนำไปต้มให้สุข เมื่อหมูสุขดีแล้วนำขึ้นมาพึ่งให้แห้งแล้วโรยเกลือจากนั้น แขวนผึ่งลมไว้ประมาณหนึ่งวัน และนำมาแช่แข็งใส่ตู้เย็นหนึ่งคืน เมื่อพร้อมแล้วก็นำมาทอดในน้ำมัน ใช้ไฟอ่อนๆ จนสุกเหลืองน่ารับประทานค่อยเร่งไฟให้แรง จะหนังกรอบเป็นได้ที่ นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักให้น้ำมันแห้ง หันรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยยิ่งนัก

คุณปู่เป็นต้นแบบของการพึ่งตนเองเสมอ อยากทานอะไรทำไมไม่ลองทำทานดู จะไปซื้อให้เสียสตางค์แพงๆทำไมกัน ทั้งที่เราก็สามารถทำเองได้ แถมยังอาจได้สูตรทาหารแปลกๆอร่อยๆก็เป็นได้ นั้นเอง

จานกระเบื้องแมว 

คุณปู่สมัยที่เกรียณแรกๆ นั้นชอบพาครอบครัวไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ของโบราณ ก็ได้เห็นเครื่องลายครามสมัยอยุธยา คุณปู่ก็เลยเล่าให้ฟังว่าบ้านเราก็เคยมีเครื่องลายครามสมัยอยุธยาเหมือกัน แต่ใครไม่รู้เอาเครื่องลายครามดังกล่าวไปใส่อาหารให้แมวกิน ก็เป็นเรื่องขำๆของคนในบ้าน สมัยที่ปู่อยู่อยุธยานั้น มีอาชีพหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ อาชีพนี้คือการงมแม่แน่เพื่อหาของเก่า ที่อยู่ในแม่น้ำ คุณปู่เล่าว่าก็มีคนนำมาให้พอสมควร เรียกว่าเยอะได้เลยละครับ ดังนั้นเมือมีมากและมีคนไม่รู้ว่าเป็นเครื่องลายครามมาเจอกัน ก็นำไปใส่อาหารให้แมวกิน ซึ้งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าในบ้านน่าจะมีอีกพอสมควรแต่ต้องเป็นหีบหลายใบเลยละกว่าจะหาพบ

บางครั้งมูลค่าของสิ่งของเมื่ออยู่ผิดที่ผิดทางมูลค่าอาจจะหายไปก็เป็นได้ เสมือนนิยายเซ็นเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนยังจำได้ดี คือมีสำนักเซ็นที่มีหินวิเศษตั้งอยู่และพื้นโดยรอบก็จะมีหินวางอยู่เป็นจำนวนมาก ปรากฎว่ามีลูกศิษย์ขอผู้เป็นอาจารย์เข้าไปดู อาจารย์ก็หยิบให้ดูเมื่อลูกศิษย์ได้ดูเสร็จเป็นที่เรียบร้อยอาจารย์เซ็นก็โยนหินก้อนนั้นไปรวบกับหินก้อนอื่น ลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็ตกใจร้องโวยวายว่าอาจารย์ทำอะไร หลังจากอาจารย์ได้ยินเสียลูกศิษย์ก็เดินไปที่กองหินที่เหมือนๆกันจำนวนมาก และก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาวางแทนที่หินวิเศษก้อนเดิม ลูกศิษย์ก็เลยถามอาจารย์ว่าท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าก้อนไหนคือหินวิเศษ อาจารย์บอกว่าข้าก็ไม่รู็เหมือนกัน หินก้อนไหนก็เหมือนกันน่ะละ ถ้าเราไม่ยึดติดก้อนไหนก็วิเศษเหมือนกัน ก็เป็นเรื่องที่แฝงกับคติธรรม ถึงการยึดติดกับสิ่งของแต่ไม่ได้มองเห็นถึงประโยชน์ที่แท้จริงของสิ่งนั้นเลย บางครั้งเครื่องลายครามอาจไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์ แต่เครื่องลายครามอาจรอใครซักคนนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ก็เป็นได้ แต่ไม่น่าจะนำไปใส่อาหารแมวเลยจริงมั้ง

ชอบปลูกบัว 

 มีอยู่วันหนึ่งคุณปู่เดินมาชวนไปราชบุรี ไอ้เราก็ถามว่าไปทำอะไรครับ คุณปู่บอกอยากปลูกบัว เราก็ได้แต่ตอบว่าครับ และก็นั่งรถไปกับคุณปู่ โดยไปกันทั้งหมดสามคนมีคุณปู่ผมและน้องอีกหนึ่งคน ขับรถกะบะไปกันสามคน เพื่อหากระถางบัวมาปลูกบัวนั้นเอง เมื่อไปถึงราชบุรีเราก็ขับเข้าไปโรงปั่นโองมังกร และจัดแจงจนได้กระถางบัวรายมังกรมาถึงสองใบใส่กะบะท้ายรถเป็นที่เรียบร้อยแถมหมูดินเผามาอีกหนึ่งตัว พอมารู้ราคาหมูดินเผาก็ตกใจพอสมควร เห็นว่าคนขายตั้งราคาไว้ถึง สามพันบาทเลยที่เดียว ทั้งที่วางทิ้งไว้บริเวณหน้าห้องน้ำแท้ๆ หลังจากนั้นเราก็หยิบๆกระถางต้นไม้มาอีกสองถึงสามกระถาง และแวะทานอาหารขึ้นชื่อคือ ขาหมูทอดกรอบ บอกเลยครับว่าอร่อยมากผู้เขียนยังจำรสชาดของอาหารมื้อนั้นได้เป็นอย่างดี แต่หลังๆเห็นร้านอาหารในกรุงเทพเรียกขาหมูเยอรมัน ก็ยังสงสัยอยู่ว่า คนเยอรมันกินขาหมูทอดกันจริงเท็จประการใด

หลังจากเสร็จจากราชบุรีเป็นที่เรียบร้อยคุณปู่ก็นำกระถางมาตั้งไว้บริเวณหน้าบ้านชั้นสอง และหาซื้อดิน บัว พร้อมอุปกรณ์การปลูกมา ผู้เขียนยังจำได้เลยว่าคุณปู่ปลูกบัวสวยมากและปลูกไปอีกหลายปี จนคุณปู่มีอายุมากขึ้นก็เลิกปลูกเพราะต้องดูแลเป็นพิเศษ ผู้เขียนเลยนำมะขาม และต้นแก้วมาปลูกต่อทั้งสอง กระถางบัวของคุณปู่เป็นที่เรียบร้อย ปรากฎว่าต้นมะขามโตดีมาก แต่ต้นแก้วนั้นงามอยู่หลายเดือนแต่สุดท้ายก็เหียวแห้งพร้อมกับการจากไปของคุณปู่

การที่คุณปู่คิดอะไรแล้วทำทันทีพร้อมลงมือจนประสบความเร็จนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง เมื่อเรานึกอยากทำอะไรให้ลงมือทำทันที และทำอย่างเต็มความสามารถอย่าย้อท้อต่อความยากลำบาก และอย่าผลัดวันประกันพุ่ง เพราะเราจะไม่ได้ลงมือทำนั้นเอง

โต๊ะสนุกเกอร์

คุณปู่เล่นสนุกเกอร์เก่งพอสมควรเลยละครับ เราเคยไปเที่ยวทะเลบนเกาะเสม็ดด้วยกันหลายคนเลยครับ โดยลูกชายคนเล็ก อากอง ดำรงค์รักษ์ มลิทอง เป็นผู้ดำเนินการให้เสร็จสรรพ โรงแรมที่เราพักมีโต๊ะพูลอยู่ หลังจากเล่นน้ำทะเลและทานอาหารเย็นร่วมกันแล้ว ก็มีโอกาสเล่นพูลด้วยกัน คุณปู่เล่นเก่งมากเลยครับ ถึงจะอายุมากแล้วผิดกับผู้เขียนที่เล่นไม่เป็นโล้เป็นโพย แทงไม่เคยลงซักลูก

คุณปู่เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้ฟังว่า สมัยที่ขึ้นไปดูงานที่โรงพักในสถานที่ห่างไกลความเจริญไม่มีถนนเข้าไปต้องเดินเท้าและขี้ม้าเพื่อเข้าไปถึง ปรากฎว่าคุณปู่บอกมีโต๊ะสนุกเกอร์ อยู่บริเวณใกล้กับโรงพักด้วย คิดดูสิขนาดเดินเท้ายังเข้าไปอย่างยากลำบากแล้วทมนุษย์ผู้มีความยาก ก็บันดาลให้โต๊ะสนุกเกอร์เข้าไปอยู่กลางป่ากลางเขาได้ซะอย่างนั้น ทำให้คุณปู่ได้ฝึกซ้อมฝีมือพอสมควรเลยที่เดียว

คุณปู่บอกว่าความมานะของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่มาก หากเราสามารถนำความมานะพยามมาใช้ให้ถูกที่ถูกทางถูกกาลเทศะแล้วละก็ ความมหัศจรรย์มากมายย่อมเกิดขึ้นบนโลกอย่างแน่นอน ขนาดโต๊ะสนุกเกอร์ยังไปอยู่กลางป่าได้ นับอะไรกับความที่ขยันพยายามมีความมานะจะไม่ประสบความสำเร็จ

เกาหลีหมัดหนัก

คุณปู่เดินทางไปดูงานต่างประเทศหลายประเทศเลยครับ เลยมีเรื่องเล่าจากแดนพอสมควร แต่เรื่องที่ปู่เล่าบ่อยคือเรื่องการทานอาหารเช้าที่โรงแรม ผู้เขียนจำนิได้ว่าประเทศไหนที่คุณปู่เล่า แต่เรื่องมีอยู่ว่าระหว่างที่คุณปู่รอตักอาหารเข้าอยู่ข้างหน้าคุณปู่มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลียืนรออยู่เช่นกัน ปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวฝรั่งน่าจะเป็นอเมริกาตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาตักแซงหน้านักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เหตุการณ์ที่คุณปู่เล่าให้ฟังอาจหวาดเสียวพอสมควรผู้อ่านที่ไม่กล้าจินตนาการตามแนะนำให้หลับตาข้ามไปอ่านตอนต่อไปได้ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวอเมริกาเข้ามาแซงตักอาหาร นักท่องเทียวชาวเกาหลีที่ตัวเล็กมาก เกิดอาการไม่พอใจและโวยวายต่อว่าเสียงดังใหญ่โต แต่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกาก็มิสะทกสะท้าน น่าจะเพราะตัวใหญ่กว่า และนักท่องเที่ยวชาวอเมริกาก็ผลักอกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เมื่อเหตุการเป็นเช่นนั้น นักท่องเที่ยวเกาหลีก็ฮุกหมัดเข้าบริเวณปลายคางเข้าอย่างจัง ไอ้กันตัวสูงยังกับเปรตเหมือนหมดแรงลงไปกองอยู่กับพื้นแน่นิ่งไปเลย

ปู่สอนว่าคนเราเกิดมาอย่างไปดูถูกใคร เพราะไม่แน่คนที่เราดูถูกดูแคลนอาจมีอะไรดีก็ได้ รวมถึงมารยาททางสังคม เกิดเป็นชายต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ รักษามารยาทเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่นนั้นเอง

ชักโครกมรณะ

อาจฟังเหมือนเรื่องหาดเสียวแต่ผู้เขียนรับรองว่าไม่เสียวครับ คุณปู่เล่าว่าระหว่างเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินก็มีเสียงร้องโวยวายออกมาจากบริเวณห้องน้ำของเครื่องบิน ปรากฎว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งที่ขึ้นเครื่องไปด้วยนั้น ก้นติดอยู่กับชักโครกเครื่องบินถึงขั้นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลยที่เดียว เข้าใจว่าผู้โดยสารท่านนั้นคงจะกำลังใช้โถชักโครกอยู่แล้วกดชักโครกขณะนั่งอยู่แล้วแรงดูดชักโครกคงจะดูดก้นผู้โดยสารให้ติดกับตัวชักโครกนั้นเอง เพราะระบบชักโครกบนเครื่องบินนั้น ไม่มีระบบน้ำแต่ใช้แรงดูดลงไปนั้นเอง บางครั้งผู้โดยสารท่านนั้นอาจขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกและไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าว แต่ก็สามารถช่วยออกมาได้โดยปลอดภัย เหลือร่องรอยอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากฟังเรื่องของคุณปู่ ผู้เขียนก็ไม่เคยมีโอกาสได้ลองใช้บริการห้องน้ำของเครื่องบินอีกเลย นึกแล้วขันตัวเอง

บางครั้งความไม่รู้ก็อาจเป็นสาเหตุของเรื่องแปลกๆหรือปัญหาบางประการ แต่ทุกครั้งที่มนุษย์เรามีประสบการณ์ จากเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ทำให้เราสามารถที่จะก้าวผ่านปัญหาที่เคยเจอหรือรับมือกับสถานการณ์ที่เราเคยผ่านมาแล้วได้เป็นอย่างดี ดังนั้นแล้วเราก็ไม่ควรที่จะกลัวในการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการนั่งชักโครกบนเครื่องบินนั้นเอง

ปิกนิก

ปิกนิก ก็คือการประกอบอาหารออกไปรับประทานตามสถานที่ต่างๆ ซึ้งคุณปู่ชอบมากสมัยเกรียณใหม่ๆ คุณปู่พาผู้เขียนและครอบครัวไปปิกนิกเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงเย็น เช่นบางวันเราไปปิกนิกที่สนามหลวง เราก็จะหาซื้อว่าวมาเล่นกัน และนักทานข้าวเย็นหลังรถกะบะกัน ไปเป็นครอบครัวใหญ่ เลยที่เดียวครับ บางครั้งก็ไปพุทธมณฑลให้อาหารปลาและทานข้าวกัน คุณแม่ก็จะนึ่งข้าวเหนียวทอดไก่ ทอดหมูไปรับประทานกัน ตอนเปิดถนนอักษะใหม่ๆ คุณปู่ก็พาขับรถไปเที่ยวและประกอบอาหารไปรับประทานกัน หรือครั้งที่ไปเที่ยวดรีมเวิร์ล คุณแม่ก็จะจัดเตรียมอาหารไปรับประทานตอนกลางวันกัน เรียกได้ว่าบ้านเราไปไหน เราก็ประกอบอาหารไปทานด้วย บางครั้งรถติดมากเราก็ทานกันบนรถ เป็นวัยเด็กที่มีความสุขมากเหลือประมาณได้เลยที่เดียว สวนรถไฟเราก็ไปปันจักรยานและทานข้าวเย็นกัน เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรที่บ้านเราออกไปทานข้าวนอกบ้านบ่อยมากๆ เลยครับ จนคุณปู่อายุมากขึ้นเราก็ไม่ค่อยได้ไป แต่อยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน

ความที่คุณปู่ทานง่ายอยู่ง่ายจึงเป็นแบบอย่างให้กับหลานเป็นอย่างดี ทำให้ผู้เขียนไปไหนอยู่ไหนก็อยู่ได้ทานได้ ไม่ต้องมากพิธี และความที่เราอยู่ง่ายกินง่ายก็ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น มีประสบการณ์ติดตัวไปด้วยอยู่เสมอ

ขับรถร้อยกิโลเมตร

พูดถึงเรื่องขับรถแล้วก็นึกขำคุณปู่อยู่พอสมควร เมื่อผู้เขียนโตขึ้นมา ผู้เขียนก็ติดนิสัยคุณปู่ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ แต่ทุกครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ คุณปู่จะโทรเข้ามาอยู่เสมอว่าถึงไหนแล้ว ถ้าขับรถได้ประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรหรือขับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ให้จอดพักรถไม่ต้องดับเครื่องแต่ให้เปิดกระโปรงหน้าระบายความร้อนทิ้งไว้ประมาณสิบนาที และคุณปู่ก็จะโทรมาเตือนเป็นระยะๆ ดังนั้นเพื่อนๆที่ร่ามไปกับผู้เขียนจะรู้ดีว่า ผู้เขียนจอดรถบ่อยมาก ถ้าไปเชียงใหม่ก็จะจอดอยู่ประมาณ เก้าถึงสิบครั้งเลยทีเดียว บางครั้งก็มีแซวคุณปู่กลับไปบ้างว่า ถ้าขับเครื่องบินจะจอดยังไงดีทุกชั่วโมง กว่าจะถึงที่หมายนี้ถ้าจะลำบากน่าดู

ความที่คุณปู่เป็นคนที่ถนอมสิ่งของเครื่องใช้เพราะเชื่อว่าการที่เราใช้ของอย่างถนอมจะทำให้เราสามารถยืดอายุการใช้งาน และใช้งานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เขียนติดนิสัยนี้ ในการใช้สิ่งของต่างๆด้วยความระวัดระวังอยู่เสมอมา 

ขี้ระแวง

เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่คุณปู่เล่าให้ฟังเสมอเพื่อสอนใจหลานๆ คือ เรื่องคดีของเศรษฐีนี สูงอายุที่เป็นคนขี้ระแวงคนมากๆ ด้วยความที่มีทรัพย์สมบัติมากและกลัวจะมีคนมาแย่งชิงทรัพย์สมบัติของประกอบกับความตระหนี่ที่มากกว่าคนทั่วไป กลัวแม้กระทั้งลูกหลานจะมาแย่งชิ่งทรัพย์สมบัติของตนเอง เมื่อลูกหลานเศรษฐีนี พาไปทำบุญที่วัดติดกับป่า ปรากฎว่าเศรษฐีนีเดินไปเข้าห้องน้ำและหายตัวไป ลูกหลานและชาวบ้านบริเวณช่วยกันออกตามหาแต่ไม่ปรากฎพบเจอ เมื่อผ่านไปได้ สามวันปรากฎว่ามีคนไปพบศพเศรษฐีนีคนดังกล่าวแต่สภาพศพเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดกินเข้าใจว่าน่าจะเป็นสุนัขป่าเข้ามาทำร้าย แต่บริเวณที่พบศพก็อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนักประกอบกับที่พบศพเป็นบริเวณอับสายตา พึงประมาณได้ว่าเศรษฐีนีน่าจะเข้าไปหลบหรือแอบซ่อนเพราะกลัวคนจะมาแย้งชิงทรัพย์สมบัติ ทำให้คนที่เข้าไปช่วยตามหากลับหาไม่เจอนั้นเอง

บางครั้งความขี้ระแวงสงสัยนสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงนั้นอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้ การปล่อยวางไม่ยึดติดดังคำพระท่าน น่าจะเป็นทางออกที่ดีและทำให้จิตใจสงบไม่ตกเป็นทาสของกิเลสปัญญา จนชีวิตหาไม่ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควรก็เป็นได้

อาชีพห้ามประกอบ

เป็นเรื่องเล่าลำดับท้ายๆของคุณปู่ ผู้เขียนเล่าให้คุณปู่ฟังว่าแฟนของผู้เขียน แก้ม ศิริญา สุทาวัน ไปเรียนเสริมสวย และเรียนตัดผมชาย กับหน่วยงานของกรุงเทพที่จัดการสอนโดยไม่คิดค่าบริการเป็นการเสริมอาชีพ คุณปู่ก็เลยเล่าเรื่องอาชีพที่คนโบราณเชื่อว่าห้ามประกอบเพราะจะทำให้หมดเนื้อหมดตัวได้

หนึ่ง ช่างตัดผม
คุณปู่เล่าว่าหากเปิดร้านตัดผมอาจจะไม่ได้กำไร เนื่องจากว่าช่างตัดผมนั้นต้องใช้เวลานานในการตัดหนึ่งหัวและถ้าเปิดร้านเองก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นจำนวนมาก แต่หากเป็นช่างแล้วไปอยู่ตามร้านที่มีลูกค้าเยอะๆน่าจะเป็นการดีกว่า เพราะไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายแต่ตัดได้เท่าไรเราก็ได้เท่านั้น 

สองโรงภาพยนต์
เข้าใจว่าคุณปู่ที่อยู่มาหลายจังหวัดนั้น คงจะเคยพบเห็นโรงภาพยนต์ท้องทิ่นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีค่าใช้จ่ายเยอะแต่จำเป็นต้องเก็บค่าเข้าชมราคาน้อยเพราะถ้าเก็บราคาสูงอาจจะไม่มีใครเข้าไปชมทำให้ไม่ได้กำไรเท่าที่ควร ผู้เขียนมีความเห็นว่าสมัยปัจจุบันนั้นธุรกิจภาพยนต์มีการแข่งขันสูง แต่ราคาค่าเข้าชมก็สูงตามไปด้วย ประกอบกับภาพยนต์ที่เข้าฉายมีจำนวนมากผิดกับโรงภาพยนต์ท้องถิ่นที่มีภาพยนต์เข้าปีละไม่กี่เรื่องทำให้คนไม่อยากเข้าไปดูก็เป็นได้

สามร้านอาหาร
อันนี้อาจจะต้องเสริมเข้าไปว่าถ้าพ่อครัวทำอาหารไม่อร่อยก็ไม่ควรเปิด เพราะมีแต่ค้าใช้จ่าย ปู่เล่าเหมือนกับว่ามีคนรู้จักเปิดร้านอาหาร แล้วโดนขโมยของในร้าน เช่น ช้อนซ้อม จานชาม และอื่นๆ อีกทำให้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงขึ้น แต่คนเข้าร้านไม่ได้สูงตามทำให้ร่ายจ่ายมากกว่ารายรับและขาดทุนไปนั้นเอง ซึ้งผู้เขียนก็เคยเปิดร้านขายโจ๊กในห้างสรรพสินค้าและขาดทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเอง

สี่นักการเมือง
มีคำกล่าวว่าหากไม่พร้อมอย่างเล่นการเมือง หากเป็นคนซซื่อสัตย์ห้านเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด คุณปุ่มีเพื่อนักการเมืองที่ซื้อสัตย์ไม่โกงกินบ้านเมืองแต่มีฐานะดีเป็นเศรษฐีเก่าแต่ก็ต้องหมดตัว เพราะต้องนำเงินไปหาเสียงและช่วยชาวบ้าน โดยที่ตนเองไม่เคยโกงกินเงินหลวงหรือภาษีของประชาชนเลย ทำให้รายจ่ายมากกว่ารายได้มหาศาลและทำให้หมดตัวไปนั้นเอง

จริงๆแล้วอาชีพห้ามประกอบนั้นค้อนข้างเป็นความเห็นที่คุณปู่เล่าจากประสบการณ์ ผู้เขียนจึงเสริมความเห็นของคุณปู่ว่าอาชีพที่ห้ามประกอบจริงๆคืออาชีพที่ ไม่ถนัดมากกว่า กล่าวคือคำว่าไม่ถนัดประกอบด้วยความไม่รู้จริง ความไม่ชอบเป็นทุนเดิม และความขี้เกียจในนิสัย เพราะหากใครก็ตามทำอะไรบางอย่างด้วยความรักมักทำออกมาได้ดีเมื่อออกมาได้ดีประกอบกับความรู้จริง เช่น การตลาด ลูกค้า สถานที่ วัตถุดิบ กระบวนการ และไม่มีความขี้เกียจเข้ามาปนเปื้อนในชีวิต จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดๆก็ตามนั้นเอง

ช่างไม้

สิ่งหนึ่งที่คุณปู่ชอบทำมากหลังเกษียณคือการประดิษฐ์สิ่งของต่างด้วยไม้ ในวัยเด็กของผู้เขียนจำได้ว่าในบ้านมีช้างที่ตัวใหญ่ที่เกาะสลักจากไม้ คุณปู่จะใช้เวลาว่างในการขัดช้างตัวนั้นและลงชเลกเองด้วยตัวเองจนเสร็จถึงจะใช้เวลานาน หลังจากทำช้างเสร็จคุณปู่ก็ลงมือขัดเก้าอี้ไม้บริเวณชั้นลอยของบ้าน และซ้อมแซมส่วนที่สึกหรอและลงชเลกเอง แม้กระทั้งตั๋งไม้ (เก้าอี้ขนาดเล็กทำด้วยไม้) คุณปู่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในงานไม้จำนวนมาก และจะลงมือทำเองเสมอไม่ว่าจะเป็นการตัด การประกอบ การขัดด้วยกระดาษทราย การลงชเลก สามารถนำมาใช้งานได้จริงแม้กระทั้งกระดานหมากรุกคุณปู่ก็ลงมือทำเอง 

คุณปู่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงเพราะงานไม้นั้นจะว่าไปก็ไม่ง่ายเลยผู้เขียนเคยช่วยคุณปู่ขัดเก้าอี้ด้วยกระดาษทรายรู้เลยว่าเมื่อยมากและเหนื่อยไม่ใช้น้อยเลย แต่คุณปู่ก็ทำสำเร็จโดยดีเสมอมา แสดงให้เห็นถึงความวิริยะ อุตสาหะ ของคุณปู่นั้นเอง  


นักหมากรุก

ในวัยเด็กผู้เขียนชอบเล่นหมากรุกมาก โดยเฉพาะการเล่นหมากรุกกับพี่ชาย คุณปู่เล่าว่าในสมัยโบราณหมากรุกห้ามนำมาเล่นในบ้านเพราะจะทำให้เสียงานเสียการ การเล่นหมากรุกจะใช้เล่นกันในวัดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ เพราะการเล่นหมากรุกนั้นใช้เวลานานบางเกมส์เล่นกันหลายชั่วโมง ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นหมากรุกกับคุณปู่สมัยตอนเป็นเด็กแต่ไม่เคยสามารถเอาชนะคุณปู่ได้เลยซักครั้ง จนขึ้นเรียนชั้นมัธยมต้น ผู้เขียนเข้าชมรมหมากรุกของโรงเรียนและได้รางวัลอันดับหนึ่งของการแข่งขันกีฬาสี ก็กลับมาขอประลองกับคุณปู่อีกครั้งหนึ่งใช้เวลาเล่นประมาณสามชั่วโมงกว่าปรากฎว่าผู้เขียนสามารถเอาชนะคุณปู่ได้อย่างเฉียดฉิว หลังจากนั้นมาคุณปู่ก็ไม่เขียนเล่นหมากรุกกับผู้เขียนอีกเลย ผู้เขียนก็ต้องพาตัวเองไปแข่งตามที่ต่างๆ เช่นสนามหลวงแต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัลใด รางวัลสูงสุดที่เคยได้คือรางวัลหมากรุกเยาวชนอันดับเจ็ด หลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นมาอย่างยาวนาน

เป็นเรื่องที่เล่าที่ไรก็อมยิ้มเสมอ เสมือคุณปู่งอลที่ผู้เขียนสามารถเอาชนะได้ แต่เชื่อผมเถอะครับคุณปู่เล่นเก่งมากไม่เคยผิดพลาดในการเดินเลยซักครั้ง ผู้เขียนถึงไม่เคยชนะได้ แต่อาจด้วยคุณปู่อายุมากขึ้นทำให้ไม่สามารถนั่งเล่นเป็นเวลานานได้ เลยทำให้แพ้ผู้เขียนนั้นเอง

ไอ้แต้ม

มีเรื่องน่าชวนคิดอยู่ซักนิดเกี่ยวกับสุนัขที่บ้านเราเลี้ยงโดยปกติสุนัขที่บ้านเราเลี้ยงนั้นจะอยู่แต่บริเวณชั้นล่างของบ้าน มีแต่ไอ้แต้มตัวล่าสุดนี้ละที่มีโอกาสขึ้นมาอยู่บนบ้านได้ เสมือนคุณปู่รักสุนัขตัวนี้มาก แต่ผู้เขียนมีมุมมองที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ คุณปู่กระทำตนเป็นกาวสมานความสามัคคีให้กับคนในบ้าน และการที่ผู้เขียนเป็นคนนำไอ้แต้มเข้ามาเลี้ยงในบ้าน ผู้เขียนเข้าใจว่าคุณปู่คงไม่อยากขัดใจผู้เขียน แต่อยากให้ผู้เขียนสบายใจเลยไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนอะไร แค่คอยบอกให้ดูแลฉีดยาหาอาหารให้ดีเท่านั้น

คุณปู่แสดงให้เห็นถึงความอดทนและความเสียสละในฐานะผู้นำครอบครัว เพื่อที่จะให้ทุกคนในครอบครัวสบายใจ และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขนั้นเอง ผู้เขียนรู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวของผู้เขียน ที่ไม่เคยเข้าใจจิตใจของผู้เป็นปู่ และอยู่ในวัยเกษียณที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ต้องมานั่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในบ้านซื้งผู้เขียนมิอาจขอแก้ตัวได้อีกแล้ว

บทส่งท้าย

เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรวบรวมจากสมองหางอึ่งของผู้เขียน แต่ในความเป็นจริงนั้นคุณปู่มีเรื่องราวเรื่องเล่าอีกมากที่เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิต แต่ด้วยความโง่เขราเบาปัญญาของผู้เขียนทำให้ขณะที่คุณปู่ยังมีชีวิตและเล่าเรื่องการใช้ชีวิตนั้น ผู้เขียนมิได้จดบันทึกใดๆ เป็นความเสียดายอย่างสุดแสนหาสิ่งใดเปรียบได้

สุดท้ายนี้ขอให้ดวงวิญญาณของคุณปู่ไปสู่สุคติและผู้เขียนขอน้อมรับคำสอน คำดุ คำด่า การประพฤติตนเป็นแบบอย่างของคุณปู่ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้สมกับที่เกิดมาภายใต้ชื้อว่าเป็น หลานของ พล.ต.ต สันติ มลิทอง สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากเรื่องที่ผู้เขียนราบรวมมา เพื่อเป็นนิทานสอนใจและแสดงให้เห็นถีงการใช้ชีวิตที่น่ายกย่องควรแก่การเชิดชู ของคุณปู่ที่ผู้เขียนมิอาจเล่าคุณความดีได้หมดภายในระยะเวลาอันสั้น

อาลัยรัก
สิทธินันท์ มลิทอง
23 กุมภาพันธ์ 2559

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น