วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

TRAIN THE TRAINER

TRAIN THE TRAINER

เป็นการฝึกสำหรับผู้ที่มีความปราถนาในการพัฒนาตนเอง เพราะการเรียนรู้และสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้เป็นการพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้เป็นอย่างดีเหมาะแก่ทุกคนที่มีความปราถนาในการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและทรงประสิทธิผล

การเขียนครั้งนี้ได้รับข้อมูลมาจากการเข้าอบรมหลักสูตร TRAIN THE TRAINER ของอาจารย์ชาญ ตระการศิลป์ จากบริษัท WINTORY THAILAND

มีแนวคิดดังนี้ 

1. การวางเป้าหมายเพื่อความสำเร็จในชีวิต
สิ่งสำคัญ 2 อย่างคือ

1.1.การมีเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในระยะยาวและระยะสั้น หรือก็คือ เป้าหมายในการมีชีวิตเป็นเป้าหมายใหญ่,เป้าหมาย 5 ปี,เป้าหมาย 1 ปี,เป้าหมายรายเดือน,รวมถึงเป้าหมายรายวัน นั้นหมายความว่าความสำเร็จตามที่ความหมายของแต่ละคนนั้น จำเป็นตั้งมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถไปถึงได้ หากยังไม่สามารถตั้งเป้าหมายได้ ให้ลองใช้คำถามเช่น เราเกิดมาทำไม,เรากำลังทำสิ่งที่ทำอยู่ไปทำไม
1.2.ความเชื่อ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนสิ่งที่จะส่งเสริมตัวเราให้ไปถึงเป้าหมายของเราได้นั้นก็คือความเชื่อ ความเชื่อมั่นในตัวตนของเราและการกระทำของเราตั้งเชื่อมั่นไม่ลังเล ไปกับความคาดหวังของคนรอบข้าง แต่ต้องเป็นความคาดหวังของเรา จงรับผิดชอบตัวเอง จากผลการกระทำของตนเอง และทำอย่างมีความเชื่อเป็นแรงบรรดาลใจ

2. สี่ตัวอักษรช่วยได้
สี่ตัวอักษรช่วยคุณได้คือ T F A R

T = THOUGHT ความคิด ทุกสิ่งที่เป็นตัวตนของเราต้องเราจากการคิด มนุษย์มีความพิเศษคือสามารถใช้เส้นประสาทจำนวนมากกว่าสัตว์อื่นทำให้เราสามารถคิดได้ แต่คนส่วนใหญ่มักหยุดคิดทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

F = FEEL ความรู้สึก เมื่อเริ่มคิดได้แล้วต้องมีความรู้สึกร่วมเพื่อให้ความคิดออกมาจากความอยากคิดไม่ใช้แค่จำเป็นต้องคิด

A = ACTION เมื่อคิดออกและสามารถรู้สึกถึงความอยากได้แล้วสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักละเลยคือการลงมือทำ ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือการลงมือทำ ทำทันที จะเดินไปเชียงใหม่หรือเดินไปล้างจานก็ต้องเริ่มจากก้าวแรกเหมือนกัน มีนักศึกษาวิชา เซ็น ท่านหนึ่งได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้ไปล้างจานในครัว ซึ่งมันช่างมากมายเหลือเกิน นักศึกษาท่านนั้นแทบจะเดินหนีกลับบ้านแล้ว แต่ก็เกิดบรรลุทางความคิดขึ้นมาและเขาไปล้างจานจนหมดทุกใบ อาจารย์เซ็นถามว่า มีจานสกปกกี่ใบที่ท่านล้าง นักศึกษาตอบ มีใบเดียวครับใบที่ผมล้างอยู่นั้นเอง

R = RESULT ผลลัพธ์ เมื่อเราคิด รู้สึกและลงมือทำ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผลลัพธ์ที่มีคุณค่าและประโยชน์แก่ตัวเราเอง คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงแต่ผลลัพธ์ แต่ไม่สามารถมองเห็นวิธีการไปถึงผลลัพธ์เช่นอยากรวย แต่ไม่คิด ไม่ได้รู้สึกอยากรวยจริงๆ และไม่ลงมือทำในสิ่งที่แตกต่าง ผลลัพธ์ก็แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยครับ

3. สิ่งที่ช่วยในการรับรู้ของผู้เรียนคือ (HSD)

HEAR การฟังการฟังเป็นสิ่งที่ดีแต่การฟังอย่างเดียวอาจจะทำให้ลืมได้
SEE ถ้าเราได้ฟังและได้เห็นจะช่วยให้เราสามารถจำได้ดียิ่งขึ้น
DO ลงมือทำ ผสมทั้งสามสิ่ง ฟัง ดู และทำ จะทำให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การรู้จำ รู้จริง แต่จะพัฒนาไปได้ถึงการรู้แจ้งนั้นเอง

4. วิธีคิดของวิทยากร

รู้จริง รู้จริงในเนื้อหาที่สอนหรือที่กำลังถ่ายทอดไม่ควรนำข้อมูลที่ยังไม่ได้พิสูจน์มาใช้แต่ควรจะพิจารณาอย่างถี่ถ่วนในเนื้อหาก่อนที่จะนำมาใช้
ถ่ายทอด หน้าที่หลักของวิทยากรก็คือการถ่ายทอด ดังนั้นการถ่ายทอดที่ทรงประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ผู้นำ วิทยากรต้องแสดงตัวอย่างของการเป็นผู้นำ เพราะผู้นำที่ดีย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือผู้อื่น
น่าเชื่อถือ วิทยากรที่ดีจะต้องประพฤติตนให้มีความน่าเชื่อถือเพื่อดึงดูดผู้ฟังให้คล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือการแสดงออก
มนุษย์สัมพันธ์ มนุษย์สัมพันธ์และความเป็นมิตรจะช่วยให้ผู้ฟังเกิดอาการคล้อยตามเป็นผลให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
การแก้ปัญหา เมื่อยืนอยู่หน้าเวที แน่นอนว่าปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นวิวิทยากรมืออาชีพย่อมสามารถแก้ไบปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี
มีคุณธรรม มีคำกล่าวว่า หมอพลาดคนตาย 1 คน นักบินพลาดคนตาย 1 ลำ วิศวกรพลาดคนตาย 1 ตึก ครูพลาด คนตายทั้งประเทศ ดังนั้นวิทยากรก็คือผู้ถ่ายทอดที่สามารถสร้างคุณประโยชน์และโทษได้อนันต์ จึงมีความสำคัญมากว่าวิทยากรต้องมีคุณธรรมสูงส่ง
รักการช่วยเหลือ ผู้ที่หลงรักการเป็นวิทยากรย่อมหลงรักการช่วยเหลือ ซึ่งการพัฒนาคนเป็นหน้าที่ของวิทยากร ดังนั้นการช่วยเหลือคนโดยการพัฒนาพวกเขานั้นคือการให้ความรักในการช่วยเหลืออย่างล้นหลาม
รักการเรียนรู้ ในการเป็นวิทยากรมืออาชีพสิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือ ถ้าคุณจะสอน 30 คุณต้องรู้ 70 แต่คุณไม่ต้องถ่ายทอด 70 คุณต้องกลั่นกรองให้เหลือ 30 เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

5. หลักการขึ้นเวทีที่น่าสนใจ

พาดหัวข่าว เสมือนการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ให้หน้าดึงดูดใจตัวใหญ่ตรงประเด็น
คำถาม ขึ้นต้นด้วยคำถามจะช่วยดึงความสนใจผู้เข้ารับการอบรมให้อยู่กับปัจจุบันได้
บทกวี หาบทกวีดีเพื่อดึงดูดความสนใจก็ดีไม่ใช่น้อยซึ่งบทกวีมีเยอะมากเตรียมเก็บไว้ใช้งานบ้างก็ไม่เสียหาย
วาทะคนสำคัญ เลือกคนสำคัญที่ผู้ฟังน่าจะรู้จักเพื่อการผูกมิตรที่ดีและน่าจดจำ
บทเพลง การใช้เพลงเพื่อนำเข้าสู่เนื้อหาก็ได้รับความนิยมอยู่มิใช่น้อย อาจจะเป็นกิจกรรมสนุกๆ เพื่อนำเข้าสู่การเรียรู้

6. ระดับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

ในการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นวิทยากรนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของตนเองดังนั้นจึงมีผู้พัฒนาสามเหลี่ยมแห่งการเรียนรู้ขึ้นมาดังนี้

การอ่าน ได้รับความรู้ประมาณ 10%
การได้ยินหรือฟัง ได้รับความรู้ประมาณ 20%
การได้เห็นภาพจริง ได้รับความรู้ประมาณ 30%
การได้เห็นภาพและได้ยินพร้อมกัน ได้รับความรู้ประมาณ 50%
การพูดคุยแลกเปลี่ยน ได้รับความรู้ประมาณ 70%
การลงมือทดลองเอง ได้รับคว่ามรู้ประมาณ 80%
การลงมือสอนหรือถ่ายทอด จะทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้ถึง 95%

จะเห็นว่าการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นการเรียนรู้เพียง 10% เท่านั้นเองดังนั้นเมื่อเราต้องการพัฒนาองค์ความรู้ของเรา สิ่งแรกคือการอ่านให้เยอะ จากนั้นไปฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ไปเห็นเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด หาผู้รู้เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อให้ได้รับแนวความคิดจากนั้นทดลองด้วยตนเองเพื่อให้เกิดความรู้สึกร่วมและสุดท้ายถ้าสามารถสอนผู้อ่านได้คือคุณได้รับความสำเร็จในเรื่องที่คุณสนใจนั้นๆแล้ว

7. หัวใจนักปราชญ์

ฉันทะ รักในสิ่งที่ทำและจงทำในสิ่งที่รักด้วยแรงปราถนาในทางบวกค้นหาตนเองให้พบเพื่อเป็นผู้รู้ในเรื่องที่เรารักนั้นเอง
วิริยะ ฝึกฝนให้มากหมั่นรับคมเลื่อยอยู่เสมอ มีความกล่าวจากอับบราฮัม ลินคอน ว่า หากให้เวลาผมสามชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ผมจะลับคมเลื่อยเป็นเวลาสองชั่วโมง ดั้งนั้นหากเราสามารถฝึกฝนสม่ำเสมอจนเกิดเป็นนิสัยเป็นพฤติกรรมและกลายเป็นตัวเรา เราก็จะคมกริบดังคมเลื่อยของอับบราฮัม ลินคอน
จิตตะ จิตจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและสิ่งที่ทำอย่างมีสมาธิไม่วอกแวกล่องลอยอยู่ในอากาศไร้ประสิทธิภาพในการมีชีวิตของตนเอง
วิมังสา ปรับปรุงพัฒนาจากข้อผิดพลาด แน่นอนว่าความผิดพลาดหรือปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอแต่สิ่งที่จะหนึ่งคือการแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีกนั้นเอง

ทั้ง 7 หัวข้อนี้เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้นหากท่ายนผู้อื่นสนใจในเนื้อหาอย่างแท้จริง สามารถติดต่ออาจารย์ ชาญ ตระการศิลป์ได้ ที่ WINTORY TRAINING โดยตรงเลยครับ

หากมีขอเสนอแนะติชม น้อมรับด้วยความยินดี
สิทธินันท์ มลิทอง

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

SMART IS EASY


การตั้งเป้าหมายแบบ SMART ง่ายนิดเดียว โดยปกติคนส่วนใหญ่มักไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งเป้าหมายในชีวิตส่วนตัว ครอบครัว สังคม การทำงาน การเงิน ฯลฯ อีกมากมายก่ายกอง คิดง่ายๆครับ ลองเดินไปถามใครซักคนหนึ่งว่า คุณมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร คุณคิดว่าเค้าจะตอบคุณกลับมาอย่างไร โดยส่วนตัวผมชอบการตั้งเป้าหมายมาก เคยอ่านหนังสือของคุณสมคิด วลางกูล ตอนเป็นเด็กวัดแล้วได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ เดล คาเนกี้ ว่าชีวิตต้องมีเป้าหมาย ซึ่งคุณสมคิด ก็ตั้งเป้าเลยครับ "ต้องมีเงินล้านก่อนอายุ 25" "ต้องทำงานบนเครื่องบิน" "ต้องมีแฟนเป็นนางงาม" สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกเป้าหมายย่อมเป็นแรงดึงดูดให้ตัวเราเดินไปในเส้นทางที่เราวางเป้าหมายไว้ ผมเลยเห็นว่าการตั้งเป้าหมายย่อมส่งผลที่ดีกับชีวิต และวันนี้ผมมีการตั้งเป้าหมายแบบง่ายๆ แต่สามารถนำไปใช้ได้เลยคือ การตั้งเป้าแบบ SMART ฟังแล้วเท่มากมากครับ ขอให้ทุกท่านสนุกกับการตั้งเป้าหมายครับ

SMART มาจากคำ 5 คำคือ
S-Specific
M-Measurable
A-attainable 
R-Relevant
T-Time bound

หากเป้าหมายที่เราวางไว้มีส่วนผสมของ SMART ก็จะทำให้เราสามารถเดินทางไปถึงเป้าหมายก็เป็นได้ถึงแม้อาจจะไม่สำเร็จ ร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จมากกว่า แปดสิบเปอร์เซ็นในทางสู่เป้าหมายนั้นๆ

Specific
ชัดเจน เป้าหมายต้องชัดเจนครับ หากไม่ชัดเจน จะทำให้เราไม่ทราบเลยจริงๆว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เช่น อยากจะประสบความสำเร็จ อยากมีความสุข อยากสบาย แล้วยังไงต่อ ประสบความสำเร็จยังไงจากอะไร อยากมีความสุขกับอะไรตอนไหน อยากสบายยังไง การตั้งเป้าให้ชัดต้องถามเสมอว่า ทำไม อย่างไร ยังไง ? อาจจะเริ่มจากขยับมาให้แคบลงเพื่อให้เป้าหมายเกิดความชัดเจน เช่น จะประสบความสำเร็จจากการเขียนหนังสือ อยากมีความสุขในการเดินทางเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ช่วงปลายปี นั้นหมายความว่าเราจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อที่เราจะได้รู้ ว่าเมื่อเราเริ่มเดินทางสู่เป้าหมายนั้นๆ จะทำให้เราได้รู้ว่าเราไปถึงเป้าหมายหรือยัง เดินไปถึงไหนแล้วครึ่งทาง เริ่มต้น หรือกำลังจะถึงเป้าหมายแล้วนั้นเอง

Measurable
สามารถวัดผลได้ หมายความว่าเป้าหมายที่ SMART นั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสามารถวัดผลของความสำเร็จได้ ถ้าอยากรวย เป้าหมายต้องระบุได้ว่า  อยากรวยมีเงินเท่าไร เช่น เป้าหมาย จะรวยโดยมีเงินในบัญชี หนึ่งล้านบาท แสดงว่าถ้าเรามีเงินในบัญชีหนึ่งล้านบาท เราก็สำเร็จเป้าหมายนั้นแล้วนั้นเอง แต่หากมีเงินในบัญชีห้าแสนบาทแสดงว่าเรายังไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นๆ และเราก็ต้องหาทางไปต่อนั้นเองครับ

Attainable
เป็นไปได้ หากเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติไม่สามารถไปถึงได้ มันก็จะไม่ใช่เป้าหมายที่ SMART เช่น จะกระโดดไปดวงจันทร์ งงครับ จะเปลี่ยนความคิดผู้อื่น แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในทางกลับกันหากเราสามารถกำหนดเป้าหมายที่ง่ายเกินไปเราก็จะขาดความท้าทายและเป้าหมายนั้นอาจจะหน้าเบื่อก็เป็นได้ เช่น เป้าหมายลดน้ำหนักโดยการวิ่งวันละหนึ่งนาที มันก็คงจะไม่สามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกัน ถ้าเป้าหมายของเราเป็น จะลดน้ำหนักสิบกิโลกรัม โดยการงดทานข้าวเย็นและวิ่งวันละสามสิบนาที เป้าหมายนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ไม่ยากหรือง่าย จนเกินไป

Relevant
มีความเกี่ยวข้อง ง่ายมากเลยครับมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับความสามารถ หน้าที่ บทบาทขอตัวเราเอง หากเป้าหมายของเราขาดความสอดคล้องกับตัวตนของเรานั้นอาจหมายความว่าเป้าหมายนั้นอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงเป้าหมายและบางทีเราอาจไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นก็ได้ เช่น เราทำงานบริษัทออฟฟิศ แต่ต้องเป้าหมายว่าจะ ผลิตยาที่ใช้รักษาโรคได้ นั้นหมายความว่าเราไม่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และที่สำคัญที่สุดเราอาจจะไม่มีแม้แต่ความปรารถนา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรตั้งเป้าที่ไม่สอดคล้อง แต่บางที่เราอาจจะกำลังหาแนวทางหรือเพิ่งรู้จักกับตัวเองทำให้เราอยากเปลี่ยนทิศทางการดำเนินชีวิตก็เป็นได้แต่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าปกตินั้นเอง

Time-bound
เป้าหมายที่ดีต้องกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไม่เช่นนั้นอาจวัดผลไม่ได้เลย อาจตั้งเป้าที่ระยะเวลา หรือช่วงเวลาก็ได้ เช่น อยากรวยมีเงินในธนาคารหนึ่งล้านบาทภายในระยะเวลาสามปี นั้นหมายความว่าเรามีเวลาที่ชัดเจนถ้าเราสามารถทำได้ตามระยะเวลาที่กำหนดก็แสดงว่าเป้าหมายของเราเป็นจริงอย่างแน่นอน




ตัวช่วยในการคิดเป้าหมาย บางที่เราอาจจะยังเป็นมือใหม่ที่จะตั้งเป้าหมายแบบ SMART ผมก็หาตัวช่วยมาให้เป็นคำถามสามคำครับ

  1. เราจะไปที่ไหน
  2. เราอยู่ที่ไหน
  3. เราจะไปอย่างไร
เช่น เราจะไปเชียงใหม่ เราอยู่ที่กรุงเทพฯ เราจะเดินทางไปเชียงใหม่โดยนั่งรถทั่วไป จะเห็นว่าเมื่อเราได้คำถามทั้งสามข้อแล้วเราอาจเห็นแนวทางในการตั้งเป้าหมายที่ SMART แล้วง่ายครับ เช่น
เป้าหมาย "จะเดินทางไปเชียงใหม่วันที่ 31 ธันวาคม 2558 โดยนั่งรถทั่วจากหมอชิตเวลา 18.00 น. เพื่อไปถึงเชียงใหม่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2558" เห็นมั้ยครับสามคำถามที่จะช่วยให้เราตั้งเป้าได้ SMART ขึ้น เพื่อเป็นการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายนั้นเอง


วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Determination & Devotion

     

Facing the giants

     โจทย์ที่ได้รับจากเจ้านาย มุ่งมั่นทุ่มเท ให้ตัวช่วยมาเป็นหนังเรื่อง facing the giants โดยโจทย์มีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้พนักงานมีความ มุ่งมั่นทุ่มเท ในการทำงานในการใช้ชีวิต Determination & Devotion แล้วต้อมมี เนื้อหาที่จดจำแล้วนำไปใช้ได้

     นึกภาพไม่ออกเลยครับในตอนแรก แต่พอได้ลองทบทวนเรื่องและดูตัวอย่างหนังแล้วพอเริ่มมองเห็นภาพได้พอสมควร โดยช่วงหนึ่งของหนังเรื่อง Facing the giants จะมีทีมนักกีฬาและโค้ช กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ และมีเด็กคนหนึ่งในทีมที่เหมือนจะเป็นจุดอ่อน โค้ชให้เดินสี่ขาและมีสมาชิกในทีมอีกคนนอนอยู่บนหลังแล้วให้เดินไปให้ไกลมากที่สุด ส่วนใหญ่จะทำได้ระยะหนึ่ง ประมาณ ยี่สิบเมตร(ไม่มั่นใจนะครับฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง) ทุกคนในทีมก็เยาะเย้ยเด็กคนนั้นว่าทำไม่ได้ถึงระยะที่ทุกคนทำหรือได้ไม่ถึงครึ่งแน่ๆ สิ่งที่โค้ชทำคือ ให้เด็กคนนั้นปิดตาด้วยผ้าหนึ่งผืนและเริ่มเดินสี่ขาโดยมีเพื่อนในทีมอยู่บนหลัง สิ่งที่โค้ชทำคือ เดินไปกับเด็กและให้กำลังใจเสมอ อีกนิด อีกนิด ปรากฏว่าสิ่งที่เด็กทำได้คือ เดินได้ไกลกว่าที่ใครๆ เคยทำได้

     แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเกิดความมุ่งมั่นทุ่มเท ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดก็ตาม เท่าที่ผมจะจินตนาการได้ว่าสิ่งที่จะทำให้มนุษย์เกิดการมุ่งมั่นทุ่มเท 

  1. ความเชื่อมั่นต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำ ห้ามขาดความเชื่อมั่นโดยเด็ดขาด เพราะนั้นจะทำให้เราไม่สามารถประสบความสำเร็จ คิดง่ายๆครับ "ก็แค่นั้น" ทำไปเถอะด้วยความรักก็แค่นั้นเอง
  2. ความรัก แน่นอนว่าหากเราได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบตนเองรักมักสามารถทำได้อย่างที่ไม่สามารถจินตนาการมาก่อนได้เลย ยกตัวอย่างง่ายๆครับ คนที่รักศิลปินดารา สามารถเดินทางไปหา ไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจ แม้จะต้องต่อแถวยาวนานเพื่อซื้อบัตร หรืออะไรบางอย่างได้อย่างหมดใจ หรือเหมือนกับคนที่ชอบและหลงใหลการวาดรูป คนผู้นั้นก็สามารถที่จะวาดรูปได้เป็นวันๆ เดือนๆ ปีๆ อย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยทีเดียว
  3. มีเป้าหมาย เพื่อที่เราจะได้มีความมุ่งมั่นอย่างสุดความสามารถต้องตั้งเป้าหมายในใจให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดเส้นทางที่ต้องเดินเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เราได้ตั้งไว้ทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวนั้นเองครับทุกท่าน
     โดยสรุปคนที่มีความรัก เชื่อมั่นในตนเอง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนมักจะสามารถมุ่งมั่นทุ่มเท่ให้กับสิ่งที่ตนทำได้อย่างไม่ลดละเลยครับ

หากเขียนอ่านไม่รู้เรื่องน้อมรับทุกคำเสนอแนะครับ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The secrets of hamburger.

อะไรคือความลับที่ทำให้ทุกคนทั่วโลกรู้จัก แฮมเบอร์เกอร์

HAMBURGER แค่ได้ยินคำนี้ก็นึกหิวแล้วแล้วทำไมมันถึงได้เป็นอมตะขนาดนี้น่ะ โดยเฉพาะเจ้ายักษ์ใหญ่ในโลกอย่าง "แฮมเบอร์เกอร์ที่ฉันรัก" ถึงไม่มีใครสามารถล้มได้เลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็น "แฮมเบอร์เกอร์แห่งราชา" "แฮมเบอร์เกอร์เจ้าดัง" หรือแม่กระทั้งคู่แข่งที่ท้าชนด้วยแฮมเบอร์เกอร์ตลอดเวลาอย่าง "แฮมเบอร์เกอร์ผู้เฒ่า" มันมีความลับบางอย่างครับ และขอออกตัวไว้ก่อนตอนนี้เลยนะครับว่า ที่ผมเขียนทั้งหมดต่อไปนี้ ไม่ได้มีทฤษฎีใดๆรองรับทั้งสิ้น แค่อยากเขียนเพราะเพิ่งไปซื้อมารับประทาน ก่อนนอนตอนสี่ทุ่มนี้เอง เฉพาะฉะนั้นแค่เล่นๆเพื่ออ่านเล่นๆครับ

เรามาเริ่มดูกันก่อนเลยว่า "แฮมเบอร์เกอร์ที่ฉันรัก" ที่ยื่นยงมาอย่างยาวนานนั้นเค้าทำแฮมเบอร์เกอร์ให้เรารับประทานอย่างไร เริ่งแรกเลยพอคุณเดินเข้าร้านและสั่งแฮมเบอร์เกอร์หนึ่งชิ้นนั้นไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ปลา หรืออื่นๆตามแต่สถานที่และเวลา เค้าจะไม่ทำสำเร็จเอาไว้ก่อนแต่จะเริ่มทำหลังรับคำสั่งซื้อก่อน แต่เค้าจะทำแยกส่วนเอาไว้คือ แฮมเบอร์เกอร์จะทำแยกแล้วใส่ชั้นเรียงตามชนิดในชั้นที่มีความร้อนที่พอเหมาะ แยกกับขนมปัง ผักและซอส พอได้รับคำสั่งก็จะนำ ขนมปังวาง ใส่แฮมเบอร์เกอร์ ใส่ผักสลัดแล้วราดซอสตามแต่สูตรของแฮมเบอร์เกอร์ที่เราสั่ง แล้วก็ห่อกระดาษจากนั้นจะสไลด์ แฮมเบอร์เกอร์ที่ทำเสร็จแล้วออกมา แล้วมันพิเศษอย่างไรละครับงง งง ละสิผมก็งง งั้นเรามาดูอีกเจ้านะครับ
     
แฮมเบอร์เกอร์ที่ผมจะเขียนถึงอีกเจ้าคือ "แฮมเบอร์เกอร์ผู้เฒ่า" เจ้านี้ชอบถ้าชิงออกรสชาติใหม่มาแทบตามไม่ทัน แถมพอจะไปหากินตามโฆษณาก็หนี้หายไม่ยอมขายเสียแล้ว กระบวนการคล้ายกันครับแต่ในบางที่หรือบางแห่งจะแตกต่างบ้างกล่าวคือ เมื่อเราสั่งรายการอาหารเค้าก็จะเริ่มทำ นำขนมปังวางใส่แฮมเบอร์เกอร์ ใส่ผักและซอสห่อกระดาษ เราหยิบมาวางในตู้ จากนั้นหน้าร้านก็จะหยิบต่อมาส่งให้ลูกค้า ไม่มีการสไลด์นะครับเจ้านี้ ที่ว่าบางสถานที่แตกต่างคือ บางที่ทำไว้ก่อนเมื่อลูกค้าสั่งก็หยิบมาวางได้เลยสรุปคือ งง ละสิครับ งงรอบสองงั้นเรามาดูความต่างครับ

ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยสร้างส่วนแบ่งการตลาดมหาศาลในการแข่งขันด้านแฮมเบอร์เกอร์ (เฉพาะแฮมเบอร์เกอร์ไม่รวมภาพรวมนะครับ) ความแตกต่างแรกที่ผมเห็นคือ "แฮมเบอร์เกอร์ที่ฉันรัก" จะทำตัวแฮมเบอร์เกอร์ที่มีการทำเฉพาะสำหรับเมนูนั้นๆ หมายความว่าถ้าคุณสั่งเมนู A ก็จะมีแฮมเบอร์เกอร์ของเมนู A ไม่มีการนำแฮมเบอร์เกอร์ของเมนู A ไปใช้รวมกับเมนูอื่น(เท่าที่เห็นไม่เคยครับ) ส่วนอีกเจ้า "แฮมเบอร์เกอร์ผู้เฒ่า" จะมีแฮมเบอร์เกอร์แบบเดียวแต่เปลี่ยนซอสหรือเปลี่ยนขนมปังแล้วก็มีหลายชื่อ หลายเมนู แต่ตัวแฮมเบอร์เกอร์มีแบบเดียว แพ้ขาดที่หนึ่ง ยิ่งถ้าร้านไหนทำไว้แล้วล่วงหน้าไม่ต้องพูดถึงครับจบ ความแตกต่างที่สอง ผักสลัดครับ "แฮมเบอร์เกอร์ที่ฉันรัก" ผักสลัดจะหันเล็กและถี่ (อย่าคิดลึกนะครับ) นั้นหมายความว่าการเคี้ยวหรือการกัดจะให้รสสัมผัสที่แตกต่างรวมถึงผักไม่หลุดออกมามากระหว่างทานไม่เหมือนกับ "แฮมเบอร์เกอร์ผู้เฒ่า" ผักชิ้นใหญ่กว่า ผมเข้าใจว่าถ้าผักชิ้นใหญ่จะให้รสเต็มคำและอร่อยแต่อย่าลืมนะครับนั้นทำให้ผักหลุดออกมาจากแฮมเบอร์เกอร์ระหว่างที่เรากำลังทานนั้นคงทำให้หงุดหงิดพอสมควร แพ้ขาดที่สอง 


และความแตกต่างสุดท้ายเท่าที่ผมจะประมาณได้คือ กระดาษห่อครับ จากการสังเกตุ "แฮมเบอร์เกอร์ที่ฉันรัก" จะมีกระดาษห่อที่บางและอยู่ตัวกว่า "แฮมเบอร์เกอร์ผู้เฒ่า" ที่มีความหนาและแข็งพอสมควร นั้นทำให้เวลาเราหยิบรับประทานตัวแฮมเบอร์เกอร์และขนมปังมักหลุดออกจากกันทำให่รำคาญพอสมควร แต่หากกระดาษห่อบางและอยู่ตัว จะทำให้เวลาทานแฮมเบอร์เกอร์กับขนมปังไม่หลุดออกจากกันทำให้ท่านได้อร่อยพอสมควร และนี้คือ แพ้ที่สาม 

สรุปเลยนะครับ ไม่ว่า "แฮมเบอร์เกอร์ผุ้เฒ่า" จะท้าชนปีละ ร้อยเมนู ก็ไม่มีทางสู้ได้แน่นอนหากไม่สามารถเปลี่ยนอะไรบางอย่างเพื่อท้าชน และถ้าไม่ยอมเปลี่ยนผมก็แนะนำไม่ต้องพยายามมากครับ แค่ทอดสัตว์ปีกขาย ก็ไม่มีใครสู้ได้แล้วครับ อิอิ

ถ้าผมเขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่องผมขอน้อมรับทุกความคิดเห็นครับ

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Oh! My Boss




     ในการทำงานทุกตำแหน่งทุกหน้าที่ ทุกคนย่อมมีหัวหน้างาน ยกเว้นแต่ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการคุณถึงจะไม่มีหัวหน้างาน แต่แล้ววันหนึ่งหากคุณต้องทำงานในองค์กรโดยไม่มีหัวหน้างาน คุณจะทำเช่นไร ไม่ว่าการไม่มีหัวหน้างานเกิดจากการโอนย้าย การเลือนตำแหน่ง การขาดชั่วเวลา แล้วหน่วยงานของท่าน ไม่มีหัวหน้างานที่รับผิดชอบ ไม่มีรักษาการ จะเกิดอะไรขึ้น น่าสนุกนะครับ เป็นคำถามที่เหมือนไม่น่าเกิดขึ้นจริง แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงแล้วคุณจะทำเช่นไร ???

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

New job

     พุธที่ 30 กันยายน 2558 น้องที่ทำงานชั่วคราว ทำงานเป็นวันสุดท้าย ซึ่งเป็นน้องที่จบจากมหาวิทยาลัยแห่งป่าเขา ลำเนาไพล ร่วมกัน เป็นรุ่นน้องนักปกครองแห่งมหาวิทยาลัยในตำนาน มาทำงานร่วมกันภายใต้บริษัทใหญ่โตแห่งเมืองหลวงเป็นเวลากว่า 2 เดือน 
     "เฮ้ย ไอ้วุด" แต้มเรียกน้องชาย จากสาขาวิชาเดียวกัน "วันนี้พี่ขอเลี้ยงส่งนะ" 
     "ได้ครับพี่" ไอ้วุดตอบตามสไตร์ รุ่นน้องที่มีความเคารพในรุ่นพี่ มหาวิทยาลัยแห่งขุนเขาและป่าไพล อบรมบ่มเพาะ ความเป็นสุภาพบุรุษแห่งดินแดนเกษตร เต็มที่ "18.30 เจอกันลานจอดรถมอเตอร์ไซนะ พี่นัดบังเรฟไว้แล้ว เราจะไปตะลุยเมืองหลวงกัน"
     18.30 ไอ้แต้มไปรอน้องที่ลานจอด จับ iphone โทรหาไอ้วุด น้องร่วมสายปริญญา "อยู่ไหนครับคุณน้อง" ไอ้วุดตอบกลับ "เพื่อนๆ ที่แผนกพาไปเลี้ยง kfc ครับ" ไก่ทอดตำนานของโลก มีเกือยทุกประเทศและเป็นอาหารที่หากินง่ายในห้างใหญ่โต "รอสักครู่นะพี่" ได้ครับผม 19.00 น. ไอ้วุดเดินลงมาทำหน้าเขิลๆ ที่ปล่อยให้รุ่นพี่รอ และหลายคนที่รออยู่ที่ร้าน "ไปออกเดินทางได้" ฝนตกเล็กน้อย zoomer x 2 คัน พุ่งออกสู่ถนนใหญ่ เป้าหมายคือ ร้านส้มตำเจ้จ่อย ไกล้ 4 แยกราชวัตร เพื่อนๆรุ่นพี่รออยู่ เตรียมทำโทษไอ้วุดตาม กฎรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ทุกคนที่รออยู่เหมือนจะกินอิ่มไม่มีแรงจะปฏิบัติตามกฏที่ว่า เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงกัน งานเลี้ยงสบายๆ ตามชีวิตพนักงานเงินเดือน น้อยก็เริ่มขึ้น เบียร์ ส้มตำ ไก่ทอด เนื้อทอด เนื่องจาก หลายๆรับประทานเนื้่อหมูไม่ได้ สมาชิกที่เหลือก็ต้องทานเนื้อไปตามระเบียบ 
     20.00 มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น นักดนตรีหนุ่มใหญ่ หิ่วกีต้าตัวโปรดเดินผ่านโต๊ะที่หมู่คณะนั่งสนทนากันอยู่ "ฟังเพลงมั้ยครับ ฟังเพลงมั้ยครับ" เสียงเรียกจากพี่ ปุ๊ นักดนตรีอิศระ เรียกว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก "พี่ร้องอะไรได้มั่งครับ" ไอ้แต้มตะโกนถาม ขณะที่พี่ปุ๊เดิน ผ่านหลายๆโต๊ะมา "ได้หมดครับ" พี่ปุ๊ตอบด้วยความมั่นใจ "เราและนาย" ไอ้แต้มบอก เพลงเราและนายเป็นเพลงที่พี่เสกโลโซ ร้อง ร๊อคเกอร์ในตำนาน เพลงพี่ส่วนใหญ่จะเปิดและร้องกันในวันสุดท้ายของภาคการศึกษา หรือก่อนแยกย้ายกันไป พี่ปุ๊ เล่มเล่นกีต้า และร้องเพลงอย่างเมามัน ราวกับว่าพี่เสก มายืนอยู่ตรงนี้ที่เดียว แต้มสนใจมากครับ อาชีพที่ดูอิสระ เดินร้องเพลงที่ร้านข้างถนน เหมือนฉากในหนังใหญ่ฟอร์มยักษ์ ที่พระเอกนางเอก นั่งทานอาหารในร้านอาหารหรู่ มีนักดนตรีส่วนตัวมาบรรเลง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอบรรยายกาศ เช่นนี้ที่ข้างถนน พี่ปุ๊ร้องต่อไปอีก หลายเพลง จนแทบหมดเสียง ไอ้แต้มรู้สึกพึงพอใจมาก ให้ตังพี่ปุ๊ไป 20 บาท "ผมมีเท่านี้พี่หมดตัวแล้ว" 20 บาท อาจจะทานข้าวไม่ได้สักจาน แต่ออกมาจากใจเท่าที่มี พี่ปุ๊รับไว้และเดินต่อไป 
     21.00 เริ่มเมาและเริ่มอิ่ม ทุกคนนึกขึ้นมาได้ว่า พรุ่งนี้ต้องทำงานนะ เราเลยตกลงแยกย้าย ไอ้วุดเริ่มงานใหม่ พรุ่งนี้ฝ่ายการตลาด และทุกคนก็อวยพรให้ไอ้วุดเจริญก้าวหน้าต่อไป 


พี่ปุ๊ นักร้องแห่งสายฝน


have a good

     เริ่มต้นวันดีๆ เช้าวันศุกร์ กับนายแต้ม ยอดชายขวัญใจสาวๆ ออฟฟิศและร้านขายของชำ แต้มเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติ อะไร มีแต่ตัวกับหัวใจที่พองตัว แต้มเป็นในวัยคะนอง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในป่าทางภาคเหนือ จากวิชาภาวะผู้นำ ย้ำวิชาภาวะผู้นำ ตอนเรียนก็เป็นเหมือนๆ คนทั่วไป เหล้า ยา ปลาปิ้ง ครบหมด เล่นทุกอย่างที่เพื่อนส่งให้ แต่ไม่น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายสามารถเรียนจบมาได้ ไม่ใช่เกรดเฉลี่ยธรรมดานะครับ 3 กว่าๆ จบมาได้ยังไงไม่รู้แต่ 3 กว่าๆ บางวันหนักหน่อยถึงขั้นเมาไปสอบ แต่ก็ไม่น่าเชื่ออีกนี่ละสอบผ่านซะงั้น ขนาดที่ว่าเรียนจบมาแล้ว ไปสอบเพื่อจะสมัครงานภาครัฐ เมาไปสอบครับ ไม่รู้ข้อสอบจะยากอะไรนักหนา แต่ราวกับปาฎิหาร สอบผ่านซะอย่างนั้น ทั้งๆที่เพื่อนๆตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือไม่หลับไม่นอนอยู่หลายวันก็สอบไม่ผ่าน แต่น่าเสียดาย พอสอบผ่านกลับลืมสมัครสอบ ผู้นำท้องถิ่นต่อ เลยล้มเลิกความฝันที่จะเป็นผู้นำท้องถิ่น แบบดื้นๆเลย

     ติดใจ เมืองหลวงเหตุผลหนึ่งที่ออกไปเรียนต่อในป่าใหญ่ทางภาคเหนือคือ ไม่ชอบเมืองหลวงไม่ชอบอยู่บ้านอยากออกไปอยู่ข้างนอกใจจะขาด แต่สุดท้ายต้องมาทำงานอยู่ในเมืองหลวงและกลับมาอยู่บ้านอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยที่เดียว แต้มมีแฟนชื่อจ้า คบกันตอนฝึกงานก่อบจบตอนปี 4 เจอกันแบบงงเมาๆ ในงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อน แต่ก็คบกันดีมาโดยตลอด แต้มกับจ้าเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ชอบการผูกมัด ไม่ชอบการแต่งงาน เชื่อในความรักบริสุทธื์ และไปมาหาสู่กันเป็นปกติ และเชื่อว่าจะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น เราจะอยู่กันแบบนี้ไปจนหาชั่วชีวีจะหาไม่

     เรื่องราวมันเริ่มต้นจากตรงนี้ละครับ ประชาชนคนธรรมดาทำงานบริษัทเอกชน เงินเดือนน้อยนิด เผชิญกับโลกใหญ่ที่วุ่นวายไม่มีใครสนใจ นั้นละครับ เราแค่คนตัวเล็กๆ ธรรมดา