วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เรื่องเล่าจ้าวคุณปู่


เรื่องเล่าจ้าวคุณปู่



บทนำ

21 กุมภาพันธ์ 2559 21.30 น.
บ้านโชคชัย 4 (บ้านคุณปู่)

เรื่องที่ท่านผู้อ่านต่อไปนี้เป็นการรวบรวมเรื่องที่ คุณปู่ (พล.ต.ต สันติ มลิทอง) ผู้ล่วงลับ เคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ตั้งแต่สมัยเด็กๆ รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ปู่ได้พึงปฎิบัติ พึงกระทำตนให้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และเพื่อเป็นการราบรวมเรื่องราวที่มีประโยชน์ รวมถึงรวบรวมไว้เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่ปู่มอบให้หาสิ่งใดเปรียบได้ และเพื่อให้เรื่องราวของคุณปู่จะยังคงอยู่ในใจของครอบครัวตลอด นิรันดร์ตราบชั่วฟ้าดินสลาย 

และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณคุณปู่ที่ล่วงลับ ผู้เขียนขอให้สัญญาว่า จะประพฤติตน ตามแบบคุณปู่ที่เป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทั้งความขยัน ความอดทน ความเสียสละ ความมัธยัถส์ และสิ่งๆต่างที่มิอาจกล่าวหมดได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์มิมากก็มิน้อยกว่าก่อนได้อ่านเรื่องราวต่อไปนี้

อนึ่งผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวจากความทรงจำในสมองเท่าหางอึ่ง ดังนั้นเรื่องราวบางเรื่องอาจเป็นการผสมเติมเต็ม ทั้งเรื่องที่คุณปู่เล่าให้ฟัง บางเรื่องคุณปู่ก็อ่านมาเล่าให้ฟัง หรือฟังมาเล่าอีกต่อ รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่คุณปู่ทำ บางครั้งก็แฝงความหมายที่มิอาจประมาณ บางเรื่องก็ชวนขันแบบมีสาระ ซึ้งผู้เขียนพยายามใช้ความรู้เท่าหางอึ่งประมวล วิเคราะห์และสังเคราะห์ ออกมาให้อยู่ในรูปแบบของการอ่านและสามารถสร้างประโยชน์ เป็นข้อคิด สติเตือนใจ ให้กับท่านผู้อ่านอย่างสุดความสามารถ

ตำรวจเก้าเม็ด

พูดถึงเรื่องตำรวจและมีความว่าเม็ดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอาจเหมือนเรื่องบู้สะบั่นหันแหลก หรือเรื่องตำรวจจับผู้ร้ายสุดสนุก แต่ไม่ใช่เลยครับ เป็นเรื่องชวนขัน ที่คุณปู่จะเล่าทุกครั้งที่มีการกินยาเม็ดเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องมีอยู่อย่างนี้ครับ ในอดีตปู่มีลูกน้องเป็นตำรวจ เกิดอาการไม่สบายต้องไปหาหมอ คุณหมอตรวจอาการเป็นอย่างดีและแจ้งให้ลูกน้องปู่ว่ามีอาการไข้ไม่สบาย จึงสั่งยาให้ไปกินที่บ้านและรอดูอาการ หมอสั่งว่าเมื่อยาหมดแต่อาการไข้ไม่หาย ให้กลับมาดูอาการอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่าหลังจากกลับมาบ้าน พักผ่อนได้หนึ่งวัน ลูกน้องปู่ก็กลับไปหาหมออีกครั้ง คุณหมอตกใจมากนึกว่ามีอาการหนักขึ้น พอคุณหมอถามไถ่ ได้คำตอบคือ กินยาหมดแล้วแต่เหมือนอาการแย่ลง เลยรีบมาหาหมอ หมอแปลกใจเพราะหมอสั่งยาให้กินได้ถึงเก้าวัน ทำไมผ่านไปวันเดียวถึงกลับมาหาหมออีก ลูกน้องปู่บอก ก็หน้าถุงยาเขียนให้กินครั้งละเก้าเม็ด หมอตกใจอีกครั้ง หมอบอกว่า ให้ทานครั้งละเม็ด ต่างคนต่างเถียงกันครับ แต่หมอก็สามารถล้างท้องและช่วยลูกน้องปู่ให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่พอตรวจดูถุงยาให้ดีแล้ว หมอใช้เลขไทยเขียนเป็นเลขหนึ่ง ๑ แต่ลูกน้องปู่ดูเป็นเลขเก้า 9 ซึ้งมีการเขียนคล้ายคลึงกันนี้เอง

แสดงให้เห็นถึงความผิดผลาดที่เล็กๆน้อยๆ และการเข้าใจผิดที่อาจร้ายแรงถึงชีวิตเลยที่เดียว ผู้เขียนพึงเตือนท่านผู้อ่านให้ดี ก่อนทานยาทุกครั้งไป

น้ำเปล่าใส่สะอาด

เรื่องจริงที่ยังไม่เคยมีใครทำวิจัยและน่าสนใจยิ่ง คุณปู่มีลูกสาวคนเล็กชื่อ คำเขื่อนแก้ว (อาก้อย) ตั้งชื่อตามอำเภอที่เกิดคืออำเภอคำเขื่อนแก้ว นั้นเอง อาก้อยเป็นลูกคนสาวคนเล็ก คุณปู่มีลูกทั้งหมดห้าคน ประกอบด้วยลูกชายคนโต รักษ์สันติ มลิทอง (เจียบ) ชื่อรักษ์สันติซึ้งเป็นลูกคนแรกและได้รับความรักมาก จึงตั้งชื่อลูกคนแรกด้วยความรัก กล่าวคือ รักษ์มาจากชื่อคุณย่าคือ อารีรักษ์ มลิทอง และ สันติ มาจากชื่อปู่คือ สันติ มลิทอง นำมารวมกันว่า รักษ์สันติ มลิทอง ซึ้งผู้เขียนจะนำไปเป็นแบบอย่างการตั้งชื่อลูกคนแรกของผู้เขียนด้วย ลูกคนที่สองเป็นลูกสาวชื่อ วิรงค์รอง ฟางสะอาด (ไก่) คนที่สามลูกชาย แสนอุดม มลิทอง (กุ๊ก) คนที่สี่ลูกสาว คำเขื่อนแก้ว พะมะราพา (ก้อย) และคนสุดท้ายลูกชาย ดำรงค์รักษ มลิทอง (กอง เพื่อนๆเรียก ดำ) 

เรื่องมีอยู่ว่าตอน ลูกสาวคนเล็ก เป็นเด็กนั้น คุณปู่ตั้งขวดน้ำมันก๊าดไว้ข้างๆ ตู้เย็น ปรากฏว่าวันหนึ่ง น้ำมันก๊าดในขวดหายไปหมด และลูกสาวคนเล็กเกิดอาการถ่ายพยาธิ และปู่ทำการสอบสวน ปรากฎว่าลูกสาวคนเล็กนี้เองยกขวดน้ำมันก๊าด ดื่มจนหมดขวดด้วยคิดว่าเป็นน้ำเปล่า ที่มีความใส่และไร้กลิ่น เรื่องราวเหมือนปาฎิหาย์ ลูกสาวคนเล็กไม่เป็นอะไรเลยและได้พลังพิเศษมาครอบครองคือตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยปรากฎว่ามีพยาธิอยู่ในตัวเลย แต่ผู้เขียนไม่ส่งเสริมให้ท่านผู้อ่านลองดื่มน้ำมันก๊าดดูเด็ดขาด เพราะแต่ละคนย่อมมีธาติแตกต่างกัน เรื่องนี้ปู่ชอบเล่าเวลาดื่มน้ำเปล่าหรือตอนใช้น้ำมันก๊าดผสมกับสีทาไม้ ตลอดหลายครั้ง

ดังนั้นปู่จะบอกเสมอบ้านไหนมีเด็กเล็ก อย่าวางสิ่งของที่เป็นอันตรายไว้ไกลมือเด็ก และไม่ปรากฎว่ามีลูกคนใด ได้ลิ้มลองน้ำมันก๊าดอีกเลย

ไปไหนฉันก็รู้ 

บ้านไหนมีเด็กผู้ชาย และมีรถหลายคัน น่าจะเคยประสบพบเรื่องราวคล้ายๆต่อไปนี้ คือ ลูกชายมักจะเคยแอบขัยรถออกไปเที่ยวที่ต่างๆ ก่อนที่ผู้ปกครองจะอนุญาต เรียกได้ว่าเป็นความกลัดมันของเด็กชายที่ชอบการเป็นที่ยอมรับนั้นเอง เรื่องนี้มีอยู่ว่า หลานชายคนโต อิทธิกร เลาหะพันธ์ (โอ๊ต) ขับรถไปเรียนตามปกติแต่เช้า และกลับมาถึงบ้านตอนค่ำ ปู่ก็ถามวันนี้ไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง หลานโอ๊ตก็ตอบ ไปเรียนปกติไม่มีอะไรพิเศษ ปู่ตอบกลับไปว่า ขับรถไปเรียนไกลเนอะ ตั้งสองร้อยกว่ากิโล หน้าซีดกันเป็นแถบครับ สืบทราบมาตอนหลังว่าปู่ แอบจดเลขไมค์รถ เป็นประจำทำให้รู้ว่าใครขับรถไปไหนมาไหนกี่กิโล สุดท้ายหลานโอ๊ต ก็ต้องเฉลยว่า ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดมา จริงๆไม่ใช่หลานโอ๊ตคนเดียวครับ ผู้เขียนก็เคยเจอปู่เล่นไม้นี้ออกมาเหมือนกัน 

สิ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้คือ การตำนิ หรือการแนะนำนั้น ต้องมีหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ มิฉะนั้นหากใช้ทัศนคติมาตัดสินจะทำให้ไม่สามารถปกครองคนทั้งกายและใจได้อย่างสันตินั้นเอง นี้คือหลักการแรกๆที่คุณปู่ใช้ในการปกครองครับครัวนั้นเองครับ

หอยหลอดจับง่ายนิดเดียว

สมัยเด็กๆ คุณปู่ได้เคยพาผู้เขียนและคนในครอบครัวไปเที่ยวดอนหอยหลอด จังหวัดสมุดสงคราม ซึ้งการจับหอยหลอดนั้นต้องใช้ไม้จิ้มปูนขาว ก่อนนำไม้ที่มีปูนขาวติดอยู่ ไปจิ้มลงในรูหอยหลอด เพื่อให้หอยหลอดเกิดอาการเมาและดิ้นออกมาบนผิวดินให้ผู้ที่จิ้มเก็บใส่กระป๋องได้โดยง่าย และคำว่าง่ายนั้นถ้ามิใช้ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้และไม่ได้ทำโดยชำนาญนั้น ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยครับ ผู้เขียนใช้เวลานับชั่วโมงกว่าจะจับได้หลายตัว จนแทบหมดความอดทนเลยที่เดียว เพราะแดดก็ร้อนเดินก็ยากเพราะเป็นที่ดอน เป็นดินชายเลน พอไกล้จะหมดความอดทนก็หันไปหาปู่ที่เดินแหย่หอยหลอดอยู่ไม่ไกลนัก ปู่ถือหอยหลอดอยู่เต็มถุงมากถึงสองถุงเลยทีเดียว ผู้เขียนถึงขั้นตกใจครับ ประมาณว่า ไอ้เราแหย่ตั้งนานกว่าจะได้ซักตัว คุณปู่แหย่แป็ปเดียวได้ตั้งสองถุง คุณปู่เดินกลับมาบอกฉันแหย่จนถือไม่ไหวแล้วขึ้นฝังได้ แต่แล้วความจริงก็ปรากฎเมื่อคนแหย่หอยหลอดขายเป็นอาชีพอยู่บริเวณนั้น นำเงินมาทอนคุณปู่ ปู่ก็ยิ้มเย๋เก เหมือนจะแกล้งอำหลาน 

สรุปคือปู่ไปซื้อมานั้นเอง ปู่บอกจะเสียเวลาจิ้มให้เหนื่อยไปทำไม ฮ่าฮ่าฮ่า ชนะเลิศครับ ความรู้จักพลิกแพลงนี้เองของคุณปู่ที่ช่วยให้ผู้เขียนสามารถผ่านปัญหาต่างๆที่เข้ามา หากเราสามารถใช้สติปัญญาเข้าแก้ปัญหาเพื่อแปลงออกเป็นช่องทางให้เราผ่านไปได้นั้นเอง

4 สิ่งพึงระวัง   

จริงๆแล้วเรื่องนี้น่าจะมีผู้อื่นอีกมากมายได้กล่าวถึงและมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง คุณปู่มักเล่าเรื่องนี้เสมอเวลารับประทานอาหารร่วมกัน ปู่เล่าถึงสี่อย่างพึงระวัง เพราะทั้งสี่นี้เรามิอาจคาดเดาได้เลย 

หนึ่งสัตว์หน้าขนพึงระวัง

กล่าวคือเรามิอาจคาดเดาความคิดของสัตว์หน้าขนได้เลยว่ามีความคิดหรือสิ่งที่จะกระทำออกมา บางครั้งก็ออกมาอย่างเป็นมิตรบางครั้งก็ดุร้ายอย่างน่าพึงพลัน เช่น สุนัขบางตัวก็ทำตัวหน้ารักน่าเอ็นดู บางตัวก็ดุร้ายกันคนที่เข้าไกล ทำให้เรามิอาจคาดเดาได้ ปู่จึงบอกเสมอว่าเมื่อเจอสัตว์หน้าขนให้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง

สองทะเลสงบพึงระวัง 

ทะเลสงบนี้น่าจะมีที่มาจากประสบการณ์หรือเรื่องเล่าในพื้นที่ใกล้ทะเลที่ปู่เคยปฎิบัติหน้าที่อยู่ ทะเลนั้นเมื่อสงบก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น คลื่นใต้น้ำที่ดึงคนลงใต้ทะเลและเสียชีวิตจากอาการขาดอากาศหายใจ และปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอ หรือ การเกิดคลื่นซึนามิที่เรามิอาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นถ้าเราไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยในการวิเคราะห์ทางทะเล และคลื่นพัดออก เช่นเวลาที่เราว่ายน้ำและโดนคลื่นพัดออกจากฝั่งจนทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่อาจว่ายเข้าฝังได้ นั้นละครับคือความน่ากลัวของทะเล ที่เรามิอาจคาดเดาได้

สามนารีร้อยเล่มเกวียน

สุราและนารีเป็นบ่อเกิดแห่งจุดจบของผู้ชายตั้งแต่ผู้ที่ตำต้อยจนถึงผู้นำโลก ที่มีนารีเข้ามาเกี่ยวข้องและมีแรงอิจฉาริษยา มักจะนำมาซึ้งจุดจบของชายนั้นดังที่ปรากฎอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์โลกด้วยนั้นเอง ดังนั้นการครองเรือนของชายใดต้องใช้ความระวัดระวังยิ่งในการฟัง และหญิงใดก็ตามตั้งพึงระลึกถึงความเสียหายของการกระทำของตนอย่าเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ผู้คนรอบข้างเดือนร้อนนั้นเอง

สี่พระมหากษัตย์องค์ราชัน

ในสมัยโบราณนั้นว่ากันว่า เจ้าแผ่นดินมีอำนาจเหมือนทุกชีวิต สามารถสั่งกุดหัวใครก็ได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าอยู่หัวมีโอกาศ โดนกุดหัวได้ตลอดเวลาจึงต้องพึงสังวรและระมัดระวังตนอยู่เสมอๆ ในสิ่งที่สี่นี้ผู้เขียนอยากให้รวมถึงผู้มีอำนาจด้วย เพราะผู้มีอำนาจสมัยนี้ชอบแสวงหาประโยชน์เข้าตนเอง และเพื่อให้ได้สิ่งนั้นก็สามารถเล่นละครตบตาคนทั้งโลกก็ยอม เช่น วันหนึ่งเคยโจมตีใส่กัน พอจบเรื่องก็มานั่งรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน เป็ละครที่สร้างความเดือนร้อนให้กับผู้อื่นมหาศาล

ผู้เขียนจึงขอฝากให้ท่านผู้อ่านพึงระลึก ถึงความระมัดระวังในการใช้ชีวิตนั้นเอง

เสียงปริศนา

คุณปู่เป็นตำรวจที่รับผิดชอบคดีเล็กใหญ่จำนวนมาก หนึ่งในคดีที่ปู่เล่าถึงมากที่สุดคือ คดีที่หญิงสาวถูกฆาตกรรมบนภูเขาที่ห่างไกลผู็คนและคุณปู่ต้องเข้าไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ คุณปู่ไม่ได้เล่าต่อว่าจับคนร้ายได้หรือไม่ จุดที่ปู่เล่าคือเรื่องการลงข่าวของหนังสือพิมพ์ คุณปู่เล่าว่า หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นว่า หญิงสาววิ่งหนีคนร้ายขึ้นไปบนภูเขาและร้องขอความช่วยเหลือตลอดเวลา หลังจากถูกคนร้ายทำร้ายจนใกล้ถึงแก่ความตายหญิงสาวร้องอย่างโหยหวนเป็นที่น่ากลัวนัก คุณปู่เล่ามาถึงตรงนี้ก็เล่าต่อว่า นักข่าวมันได้ยินเสียงหญิงสาวแล้วทำไมไม่เข้าไปช่วย แต่ความเป็นจริงคือไม่เคยมีใครได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือและสถานที่เกิดเหตุก็อยู่ไกลจากบ้านเรือนของคนแถวนั้นมากไม่มีทางได้ยินได้เลย แล้วนักข่าวจะไปได้ยินได้อย่างไร เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า การรับข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เข้ามานั้นตั้งระวังและวิเคราะห์ให้ดีก่อนเสมอ

ปู่สอนเสมอว่าฟังอะไรก็แล้วแต่มาเราอย่าเพิ่งเชื่อแต่ให้หาข้อพิสูจน์มาให้ได้ก่อน เพราะบางครั้งอาจเป็นเรื่องที่ไม่มีเค้าโครงของความเป็นจริงเลยก็ได้นั้นเอง

มะม่วงสุก

จริงๆแล้วคุณปู่ชอบกินมะม่วงมาก โดยกินคู่กับข้าวเหนียวมูล ยิ่งถ้าเป็นข้าวเหนียวมูล ช. สรแก้ว ละก็สุดชอบเลยละครับ เรื่องมันอยู่ตรงนี้ละครับ คุณปู่เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะมีผู้คนนำของมาเยี่ยมที่บ้านเยอะมาก ตามแต่เทศกาลหรือสะดวกใครผ่านไปผ่านมาที่กรุงเทพ ดังนั้นบ้านเราจะมีผลไม้หรือของกินต่างๆเยอะ เรื่องตลกคือปกติเมื่อได้มาเยอะเราก็กินไม่ทันแจกก็ยังเหลือ ดังนั้นเมื่อได้ของใหม่มาเราจะเก็บไว้ก่อนแล้วเอาของที่ใกล้จะเสียมาทาน แล้ววันหนึ่งปู่ก็บอกว่า เราจะมานั่งกินของเก่าที่ใกล้จะเสียทำไมน่ะ ทำไมไม่เอาของใหม่มาทานกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อมีของใหม่มาเราก็จะทานของใหม่กัน ส่วนของเก่าก็เอาไปแปรรูปตามแต่ใจปราถนาของคุณแม่ที่เป็นแม่ครัวนั้นเอง

ในบางครั้งคนเราที่มีเหตุผลก็ทำอะไรที่ดูมีเหตุผลแบบไร้เหตุผล โดยไม่ทันได้ฉุดคิดเลย ดังนั้นหากบางที่เราได้หยุดคิด ถึงความเคยชินที่เราทำอยู่เป็นประจำเราอาจจะทำอะไรโดยมีเหตุผลขึ้นมาบ้างก็ได้

กุ้งสิบบาท 

สมัยนี้ใครซื้อกุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่ทานได้นี้ ค่อนข้างที่จะมีสตางค์พอสมควรเลยที่เดียวครับ ตัวใหญ่นี้ตอนนี้กิโลกรัมละประมาณ แปดถึงเก้าร้อยเลยที่เดียว ถ้าเข้าร้านอาหารที่ปรุงสุกแล้วคาดว่าน่าจะราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่าสองพันเป็นแน่ๆ ขนาดประมาณ สองตัวโล ประมาณนั้นละครับ บ้านเราก็ชอบครับชอบทานกุ้ง แต่ส่วนใหญ่จะซื้อสดๆ มาเผาที่บ้านไปซื้อที่ตลาดเช้าบ้างตามห้างบ้างแต่ไม่ได้ทานบ่อยนะครับนานๆครั้ง แต่ที่คุณปู่ดูท่าจะชอบพอสมควรคือ กุ้งนึ่งที่ อตก. ทานพร้อมกับมันกุ้งสด ถ้ามันกุ้งเหลืออีกวันก็นำมาผัดกับข้าวผัดอร่อยไม่แพ้ ภัตตาคารเลยละครับ

ปู่เล่าว่าสมัยที่กุ้งมีอยู่เต็มแม่น้ำ ราคาจะถูกมาก ถึงมากที่สุด จะมีคนนึ่งกุ้งมาหิ้วขายตามสถานีรถไฟ ตัวละสิบบาท แค่ฟังปู่เล่าแล้วก็อยากย้อยกลับไปซื้อกินมากๆ เรื่องที่คุณปู่เล่านี้แฝงถึงวัฒนธรรมการรับประทานที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม และการกินอยู่เรียกได้ว่า ทรัพยากรมากราคาถูก ทรัพยากรน้อยคนต้องการมากราคาแพง ตามกฎดีมาน ซัพพาย ประมาณนั้นเลยละครับ

ปลาเก๋าจริงหรือ

ปลาเก๋านี้ผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะเคยได้รับประทานมาบ้างตามร้านอาหารทั่วไป ล่าสุดผู้เขียนได้มีโอกาสไปทานปลาเก๋า ที่ร้านข้าวต้ม โดยนำปลาเก๋ามาทอดกระเทียม ก็อร่อยพอใช้ได้ตัวใหญ่กำลังดี ความสดก็พอควร แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าอร่อยขั้นเทพ แต่ผู้เขียนกลับตกใจมากเมื่อถึงเวลาคิดราคาค่าอาหาร ปรากฎว่าปลาเก๋านั้นราคาสูงถึงจากละ แปดร้อยบาททีเดียว พอคุณปู่เห็นราคาคุณปู่ก็เล่าเรื่องเก่าสมัยเป็นผู้การอยู่จังหวัดติดชายทะเลว่า

สมัยก่อนชาวประมงที่จับปลาเก๋าได้ถือว่ามีดวงไม่ดีหรือดวงซวยนั้นเอง เพราะไม่มีใครนำมาประกอบอาหารรับประทาน เรียกได้ว่าถ้าจับได้ก็ต้องโยนทิ้งลงทะเล อย่างดีก็นำมาขูดและทำให้สุขเพื่อเป็นอาหารสุนัขทั่วไป เรียกได้ว่าไร้ราคาถึงขั้นที่ถ้าได้มาอาจขาดทุนเสียด้วยซ้ำ คุณปู่เล่าว่าอาจเป็นเพราะหน้าตาของปลาเก๋าที่ดูหน้าตาไม่สวยและออกแนวน่าเกรียดกระมั่ง แต่สมัยนี้กลับกลายเป็นว่าเป็นปลาที่มีราคาแพงพอสมควรแถมมีคนสั่งทั่วไปในร้านอาหารซะอย่างนั้น ดังนั้นแล้วความพิเศษในยุคสมัยหนึ่งอาจไร้ค่า แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปความพิเศษนั้นอาจแสดงออกมาก็เป็นได้

ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านทุกท่านที่กำลังรอเวลาเพื่อแสดงความพิเศษของตนให้โลกที่กำลังรอคอย ได้ประจักษ์และแย่งกันชมความพิเศษนั้นๆ โดยไม่ย้อท้อต่อความยากลำบาก เสมือนปลาเก๋าที่ต้องใช้เวลานานกว่าที่ผู้คนจะสั่งขึ้นมาทานบนโต๊ะอาหาร ด้วยราคาถึงจานละ แปดร้อยบาทนั้นเอง

สูตรหมูกรอบ

บ่งตง ภาษาวัยรุ่นแปลว่า บอกตรงๆ ว่าผู้เขียนนั้นโชคดีมากที่ได้มีโอกาสรับประทานหมูกรอบที่มี พ่อครัวเป็นถึงนายพล หรือก็คือ พล.ต.ต สันติ มลิทอง คุณปู่ของผู้เขียนนั้นเอง ในการทำหมูกรอบนั้นคุณปู่ตั้งใช้เวลานานกว่า สองถึงสามวันจะได้รับประทาน ที่คุณปู่ลงมือเองก็มิอาจทราบได้ว่าไปอ่านเจอสูตรมาหรือว่าเกิดนึกสนุกลองทำรับประทานเอง แต่ผู้เขียนขอบอกตรงๆเลยว่าอร่อยมาก และถือโอกาสนี้ แนะนำหมูกรอบสูตรนายพลที่สามารถลองทำรับประทานได้ที่บ้าน

เริ่มแรกเลยหาซิ้อหมูสามชั้น ตามตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้าก็ได้ จากนั้นนำมาล้างทำความสะอาดนำขนหมูที่ติดอยู่ตามหนังออกให้หมดมิฉะนั้นจะไม่น่ารับประทาน เมื่อได้แล้วหันเป็นชิ้นยาวประมาณหนึ่งคืบ หนาประมาณ สองนิ้ว จากนั้นนำไปต้มให้สุข เมื่อหมูสุขดีแล้วนำขึ้นมาพึ่งให้แห้งแล้วโรยเกลือจากนั้น แขวนผึ่งลมไว้ประมาณหนึ่งวัน และนำมาแช่แข็งใส่ตู้เย็นหนึ่งคืน เมื่อพร้อมแล้วก็นำมาทอดในน้ำมัน ใช้ไฟอ่อนๆ จนสุกเหลืองน่ารับประทานค่อยเร่งไฟให้แรง จะหนังกรอบเป็นได้ที่ นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักให้น้ำมันแห้ง หันรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยยิ่งนัก

คุณปู่เป็นต้นแบบของการพึ่งตนเองเสมอ อยากทานอะไรทำไมไม่ลองทำทานดู จะไปซื้อให้เสียสตางค์แพงๆทำไมกัน ทั้งที่เราก็สามารถทำเองได้ แถมยังอาจได้สูตรทาหารแปลกๆอร่อยๆก็เป็นได้ นั้นเอง

จานกระเบื้องแมว 

คุณปู่สมัยที่เกรียณแรกๆ นั้นชอบพาครอบครัวไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ของโบราณ ก็ได้เห็นเครื่องลายครามสมัยอยุธยา คุณปู่ก็เลยเล่าให้ฟังว่าบ้านเราก็เคยมีเครื่องลายครามสมัยอยุธยาเหมือกัน แต่ใครไม่รู้เอาเครื่องลายครามดังกล่าวไปใส่อาหารให้แมวกิน ก็เป็นเรื่องขำๆของคนในบ้าน สมัยที่ปู่อยู่อยุธยานั้น มีอาชีพหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ อาชีพนี้คือการงมแม่แน่เพื่อหาของเก่า ที่อยู่ในแม่น้ำ คุณปู่เล่าว่าก็มีคนนำมาให้พอสมควร เรียกว่าเยอะได้เลยละครับ ดังนั้นเมือมีมากและมีคนไม่รู้ว่าเป็นเครื่องลายครามมาเจอกัน ก็นำไปใส่อาหารให้แมวกิน ซึ้งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าในบ้านน่าจะมีอีกพอสมควรแต่ต้องเป็นหีบหลายใบเลยละกว่าจะหาพบ

บางครั้งมูลค่าของสิ่งของเมื่ออยู่ผิดที่ผิดทางมูลค่าอาจจะหายไปก็เป็นได้ เสมือนนิยายเซ็นเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนยังจำได้ดี คือมีสำนักเซ็นที่มีหินวิเศษตั้งอยู่และพื้นโดยรอบก็จะมีหินวางอยู่เป็นจำนวนมาก ปรากฎว่ามีลูกศิษย์ขอผู้เป็นอาจารย์เข้าไปดู อาจารย์ก็หยิบให้ดูเมื่อลูกศิษย์ได้ดูเสร็จเป็นที่เรียบร้อยอาจารย์เซ็นก็โยนหินก้อนนั้นไปรวบกับหินก้อนอื่น ลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็ตกใจร้องโวยวายว่าอาจารย์ทำอะไร หลังจากอาจารย์ได้ยินเสียลูกศิษย์ก็เดินไปที่กองหินที่เหมือนๆกันจำนวนมาก และก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาวางแทนที่หินวิเศษก้อนเดิม ลูกศิษย์ก็เลยถามอาจารย์ว่าท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าก้อนไหนคือหินวิเศษ อาจารย์บอกว่าข้าก็ไม่รู็เหมือนกัน หินก้อนไหนก็เหมือนกันน่ะละ ถ้าเราไม่ยึดติดก้อนไหนก็วิเศษเหมือนกัน ก็เป็นเรื่องที่แฝงกับคติธรรม ถึงการยึดติดกับสิ่งของแต่ไม่ได้มองเห็นถึงประโยชน์ที่แท้จริงของสิ่งนั้นเลย บางครั้งเครื่องลายครามอาจไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์ แต่เครื่องลายครามอาจรอใครซักคนนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ก็เป็นได้ แต่ไม่น่าจะนำไปใส่อาหารแมวเลยจริงมั้ง

ชอบปลูกบัว 

 มีอยู่วันหนึ่งคุณปู่เดินมาชวนไปราชบุรี ไอ้เราก็ถามว่าไปทำอะไรครับ คุณปู่บอกอยากปลูกบัว เราก็ได้แต่ตอบว่าครับ และก็นั่งรถไปกับคุณปู่ โดยไปกันทั้งหมดสามคนมีคุณปู่ผมและน้องอีกหนึ่งคน ขับรถกะบะไปกันสามคน เพื่อหากระถางบัวมาปลูกบัวนั้นเอง เมื่อไปถึงราชบุรีเราก็ขับเข้าไปโรงปั่นโองมังกร และจัดแจงจนได้กระถางบัวรายมังกรมาถึงสองใบใส่กะบะท้ายรถเป็นที่เรียบร้อยแถมหมูดินเผามาอีกหนึ่งตัว พอมารู้ราคาหมูดินเผาก็ตกใจพอสมควร เห็นว่าคนขายตั้งราคาไว้ถึง สามพันบาทเลยที่เดียว ทั้งที่วางทิ้งไว้บริเวณหน้าห้องน้ำแท้ๆ หลังจากนั้นเราก็หยิบๆกระถางต้นไม้มาอีกสองถึงสามกระถาง และแวะทานอาหารขึ้นชื่อคือ ขาหมูทอดกรอบ บอกเลยครับว่าอร่อยมากผู้เขียนยังจำรสชาดของอาหารมื้อนั้นได้เป็นอย่างดี แต่หลังๆเห็นร้านอาหารในกรุงเทพเรียกขาหมูเยอรมัน ก็ยังสงสัยอยู่ว่า คนเยอรมันกินขาหมูทอดกันจริงเท็จประการใด

หลังจากเสร็จจากราชบุรีเป็นที่เรียบร้อยคุณปู่ก็นำกระถางมาตั้งไว้บริเวณหน้าบ้านชั้นสอง และหาซื้อดิน บัว พร้อมอุปกรณ์การปลูกมา ผู้เขียนยังจำได้เลยว่าคุณปู่ปลูกบัวสวยมากและปลูกไปอีกหลายปี จนคุณปู่มีอายุมากขึ้นก็เลิกปลูกเพราะต้องดูแลเป็นพิเศษ ผู้เขียนเลยนำมะขาม และต้นแก้วมาปลูกต่อทั้งสอง กระถางบัวของคุณปู่เป็นที่เรียบร้อย ปรากฎว่าต้นมะขามโตดีมาก แต่ต้นแก้วนั้นงามอยู่หลายเดือนแต่สุดท้ายก็เหียวแห้งพร้อมกับการจากไปของคุณปู่

การที่คุณปู่คิดอะไรแล้วทำทันทีพร้อมลงมือจนประสบความเร็จนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง เมื่อเรานึกอยากทำอะไรให้ลงมือทำทันที และทำอย่างเต็มความสามารถอย่าย้อท้อต่อความยากลำบาก และอย่าผลัดวันประกันพุ่ง เพราะเราจะไม่ได้ลงมือทำนั้นเอง

โต๊ะสนุกเกอร์

คุณปู่เล่นสนุกเกอร์เก่งพอสมควรเลยละครับ เราเคยไปเที่ยวทะเลบนเกาะเสม็ดด้วยกันหลายคนเลยครับ โดยลูกชายคนเล็ก อากอง ดำรงค์รักษ์ มลิทอง เป็นผู้ดำเนินการให้เสร็จสรรพ โรงแรมที่เราพักมีโต๊ะพูลอยู่ หลังจากเล่นน้ำทะเลและทานอาหารเย็นร่วมกันแล้ว ก็มีโอกาสเล่นพูลด้วยกัน คุณปู่เล่นเก่งมากเลยครับ ถึงจะอายุมากแล้วผิดกับผู้เขียนที่เล่นไม่เป็นโล้เป็นโพย แทงไม่เคยลงซักลูก

คุณปู่เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้ฟังว่า สมัยที่ขึ้นไปดูงานที่โรงพักในสถานที่ห่างไกลความเจริญไม่มีถนนเข้าไปต้องเดินเท้าและขี้ม้าเพื่อเข้าไปถึง ปรากฎว่าคุณปู่บอกมีโต๊ะสนุกเกอร์ อยู่บริเวณใกล้กับโรงพักด้วย คิดดูสิขนาดเดินเท้ายังเข้าไปอย่างยากลำบากแล้วทมนุษย์ผู้มีความยาก ก็บันดาลให้โต๊ะสนุกเกอร์เข้าไปอยู่กลางป่ากลางเขาได้ซะอย่างนั้น ทำให้คุณปู่ได้ฝึกซ้อมฝีมือพอสมควรเลยที่เดียว

คุณปู่บอกว่าความมานะของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่มาก หากเราสามารถนำความมานะพยามมาใช้ให้ถูกที่ถูกทางถูกกาลเทศะแล้วละก็ ความมหัศจรรย์มากมายย่อมเกิดขึ้นบนโลกอย่างแน่นอน ขนาดโต๊ะสนุกเกอร์ยังไปอยู่กลางป่าได้ นับอะไรกับความที่ขยันพยายามมีความมานะจะไม่ประสบความสำเร็จ

เกาหลีหมัดหนัก

คุณปู่เดินทางไปดูงานต่างประเทศหลายประเทศเลยครับ เลยมีเรื่องเล่าจากแดนพอสมควร แต่เรื่องที่ปู่เล่าบ่อยคือเรื่องการทานอาหารเช้าที่โรงแรม ผู้เขียนจำนิได้ว่าประเทศไหนที่คุณปู่เล่า แต่เรื่องมีอยู่ว่าระหว่างที่คุณปู่รอตักอาหารเข้าอยู่ข้างหน้าคุณปู่มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลียืนรออยู่เช่นกัน ปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวฝรั่งน่าจะเป็นอเมริกาตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาตักแซงหน้านักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เหตุการณ์ที่คุณปู่เล่าให้ฟังอาจหวาดเสียวพอสมควรผู้อ่านที่ไม่กล้าจินตนาการตามแนะนำให้หลับตาข้ามไปอ่านตอนต่อไปได้ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวอเมริกาเข้ามาแซงตักอาหาร นักท่องเทียวชาวเกาหลีที่ตัวเล็กมาก เกิดอาการไม่พอใจและโวยวายต่อว่าเสียงดังใหญ่โต แต่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกาก็มิสะทกสะท้าน น่าจะเพราะตัวใหญ่กว่า และนักท่องเที่ยวชาวอเมริกาก็ผลักอกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เมื่อเหตุการเป็นเช่นนั้น นักท่องเที่ยวเกาหลีก็ฮุกหมัดเข้าบริเวณปลายคางเข้าอย่างจัง ไอ้กันตัวสูงยังกับเปรตเหมือนหมดแรงลงไปกองอยู่กับพื้นแน่นิ่งไปเลย

ปู่สอนว่าคนเราเกิดมาอย่างไปดูถูกใคร เพราะไม่แน่คนที่เราดูถูกดูแคลนอาจมีอะไรดีก็ได้ รวมถึงมารยาททางสังคม เกิดเป็นชายต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ รักษามารยาทเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่นนั้นเอง

ชักโครกมรณะ

อาจฟังเหมือนเรื่องหาดเสียวแต่ผู้เขียนรับรองว่าไม่เสียวครับ คุณปู่เล่าว่าระหว่างเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินก็มีเสียงร้องโวยวายออกมาจากบริเวณห้องน้ำของเครื่องบิน ปรากฎว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งที่ขึ้นเครื่องไปด้วยนั้น ก้นติดอยู่กับชักโครกเครื่องบินถึงขั้นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลยที่เดียว เข้าใจว่าผู้โดยสารท่านนั้นคงจะกำลังใช้โถชักโครกอยู่แล้วกดชักโครกขณะนั่งอยู่แล้วแรงดูดชักโครกคงจะดูดก้นผู้โดยสารให้ติดกับตัวชักโครกนั้นเอง เพราะระบบชักโครกบนเครื่องบินนั้น ไม่มีระบบน้ำแต่ใช้แรงดูดลงไปนั้นเอง บางครั้งผู้โดยสารท่านนั้นอาจขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกและไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าว แต่ก็สามารถช่วยออกมาได้โดยปลอดภัย เหลือร่องรอยอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากฟังเรื่องของคุณปู่ ผู้เขียนก็ไม่เคยมีโอกาสได้ลองใช้บริการห้องน้ำของเครื่องบินอีกเลย นึกแล้วขันตัวเอง

บางครั้งความไม่รู้ก็อาจเป็นสาเหตุของเรื่องแปลกๆหรือปัญหาบางประการ แต่ทุกครั้งที่มนุษย์เรามีประสบการณ์ จากเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ทำให้เราสามารถที่จะก้าวผ่านปัญหาที่เคยเจอหรือรับมือกับสถานการณ์ที่เราเคยผ่านมาแล้วได้เป็นอย่างดี ดังนั้นแล้วเราก็ไม่ควรที่จะกลัวในการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการนั่งชักโครกบนเครื่องบินนั้นเอง

ปิกนิก

ปิกนิก ก็คือการประกอบอาหารออกไปรับประทานตามสถานที่ต่างๆ ซึ้งคุณปู่ชอบมากสมัยเกรียณใหม่ๆ คุณปู่พาผู้เขียนและครอบครัวไปปิกนิกเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงเย็น เช่นบางวันเราไปปิกนิกที่สนามหลวง เราก็จะหาซื้อว่าวมาเล่นกัน และนักทานข้าวเย็นหลังรถกะบะกัน ไปเป็นครอบครัวใหญ่ เลยที่เดียวครับ บางครั้งก็ไปพุทธมณฑลให้อาหารปลาและทานข้าวกัน คุณแม่ก็จะนึ่งข้าวเหนียวทอดไก่ ทอดหมูไปรับประทานกัน ตอนเปิดถนนอักษะใหม่ๆ คุณปู่ก็พาขับรถไปเที่ยวและประกอบอาหารไปรับประทานกัน หรือครั้งที่ไปเที่ยวดรีมเวิร์ล คุณแม่ก็จะจัดเตรียมอาหารไปรับประทานตอนกลางวันกัน เรียกได้ว่าบ้านเราไปไหน เราก็ประกอบอาหารไปทานด้วย บางครั้งรถติดมากเราก็ทานกันบนรถ เป็นวัยเด็กที่มีความสุขมากเหลือประมาณได้เลยที่เดียว สวนรถไฟเราก็ไปปันจักรยานและทานข้าวเย็นกัน เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรที่บ้านเราออกไปทานข้าวนอกบ้านบ่อยมากๆ เลยครับ จนคุณปู่อายุมากขึ้นเราก็ไม่ค่อยได้ไป แต่อยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน

ความที่คุณปู่ทานง่ายอยู่ง่ายจึงเป็นแบบอย่างให้กับหลานเป็นอย่างดี ทำให้ผู้เขียนไปไหนอยู่ไหนก็อยู่ได้ทานได้ ไม่ต้องมากพิธี และความที่เราอยู่ง่ายกินง่ายก็ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น มีประสบการณ์ติดตัวไปด้วยอยู่เสมอ

ขับรถร้อยกิโลเมตร

พูดถึงเรื่องขับรถแล้วก็นึกขำคุณปู่อยู่พอสมควร เมื่อผู้เขียนโตขึ้นมา ผู้เขียนก็ติดนิสัยคุณปู่ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ แต่ทุกครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ คุณปู่จะโทรเข้ามาอยู่เสมอว่าถึงไหนแล้ว ถ้าขับรถได้ประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรหรือขับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ให้จอดพักรถไม่ต้องดับเครื่องแต่ให้เปิดกระโปรงหน้าระบายความร้อนทิ้งไว้ประมาณสิบนาที และคุณปู่ก็จะโทรมาเตือนเป็นระยะๆ ดังนั้นเพื่อนๆที่ร่ามไปกับผู้เขียนจะรู้ดีว่า ผู้เขียนจอดรถบ่อยมาก ถ้าไปเชียงใหม่ก็จะจอดอยู่ประมาณ เก้าถึงสิบครั้งเลยทีเดียว บางครั้งก็มีแซวคุณปู่กลับไปบ้างว่า ถ้าขับเครื่องบินจะจอดยังไงดีทุกชั่วโมง กว่าจะถึงที่หมายนี้ถ้าจะลำบากน่าดู

ความที่คุณปู่เป็นคนที่ถนอมสิ่งของเครื่องใช้เพราะเชื่อว่าการที่เราใช้ของอย่างถนอมจะทำให้เราสามารถยืดอายุการใช้งาน และใช้งานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เขียนติดนิสัยนี้ ในการใช้สิ่งของต่างๆด้วยความระวัดระวังอยู่เสมอมา 

ขี้ระแวง

เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่คุณปู่เล่าให้ฟังเสมอเพื่อสอนใจหลานๆ คือ เรื่องคดีของเศรษฐีนี สูงอายุที่เป็นคนขี้ระแวงคนมากๆ ด้วยความที่มีทรัพย์สมบัติมากและกลัวจะมีคนมาแย่งชิงทรัพย์สมบัติของประกอบกับความตระหนี่ที่มากกว่าคนทั่วไป กลัวแม้กระทั้งลูกหลานจะมาแย่งชิ่งทรัพย์สมบัติของตนเอง เมื่อลูกหลานเศรษฐีนี พาไปทำบุญที่วัดติดกับป่า ปรากฎว่าเศรษฐีนีเดินไปเข้าห้องน้ำและหายตัวไป ลูกหลานและชาวบ้านบริเวณช่วยกันออกตามหาแต่ไม่ปรากฎพบเจอ เมื่อผ่านไปได้ สามวันปรากฎว่ามีคนไปพบศพเศรษฐีนีคนดังกล่าวแต่สภาพศพเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดกินเข้าใจว่าน่าจะเป็นสุนัขป่าเข้ามาทำร้าย แต่บริเวณที่พบศพก็อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนักประกอบกับที่พบศพเป็นบริเวณอับสายตา พึงประมาณได้ว่าเศรษฐีนีน่าจะเข้าไปหลบหรือแอบซ่อนเพราะกลัวคนจะมาแย้งชิงทรัพย์สมบัติ ทำให้คนที่เข้าไปช่วยตามหากลับหาไม่เจอนั้นเอง

บางครั้งความขี้ระแวงสงสัยนสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงนั้นอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้ การปล่อยวางไม่ยึดติดดังคำพระท่าน น่าจะเป็นทางออกที่ดีและทำให้จิตใจสงบไม่ตกเป็นทาสของกิเลสปัญญา จนชีวิตหาไม่ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควรก็เป็นได้

อาชีพห้ามประกอบ

เป็นเรื่องเล่าลำดับท้ายๆของคุณปู่ ผู้เขียนเล่าให้คุณปู่ฟังว่าแฟนของผู้เขียน แก้ม ศิริญา สุทาวัน ไปเรียนเสริมสวย และเรียนตัดผมชาย กับหน่วยงานของกรุงเทพที่จัดการสอนโดยไม่คิดค่าบริการเป็นการเสริมอาชีพ คุณปู่ก็เลยเล่าเรื่องอาชีพที่คนโบราณเชื่อว่าห้ามประกอบเพราะจะทำให้หมดเนื้อหมดตัวได้

หนึ่ง ช่างตัดผม
คุณปู่เล่าว่าหากเปิดร้านตัดผมอาจจะไม่ได้กำไร เนื่องจากว่าช่างตัดผมนั้นต้องใช้เวลานานในการตัดหนึ่งหัวและถ้าเปิดร้านเองก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นจำนวนมาก แต่หากเป็นช่างแล้วไปอยู่ตามร้านที่มีลูกค้าเยอะๆน่าจะเป็นการดีกว่า เพราะไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายแต่ตัดได้เท่าไรเราก็ได้เท่านั้น 

สองโรงภาพยนต์
เข้าใจว่าคุณปู่ที่อยู่มาหลายจังหวัดนั้น คงจะเคยพบเห็นโรงภาพยนต์ท้องทิ่นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีค่าใช้จ่ายเยอะแต่จำเป็นต้องเก็บค่าเข้าชมราคาน้อยเพราะถ้าเก็บราคาสูงอาจจะไม่มีใครเข้าไปชมทำให้ไม่ได้กำไรเท่าที่ควร ผู้เขียนมีความเห็นว่าสมัยปัจจุบันนั้นธุรกิจภาพยนต์มีการแข่งขันสูง แต่ราคาค่าเข้าชมก็สูงตามไปด้วย ประกอบกับภาพยนต์ที่เข้าฉายมีจำนวนมากผิดกับโรงภาพยนต์ท้องถิ่นที่มีภาพยนต์เข้าปีละไม่กี่เรื่องทำให้คนไม่อยากเข้าไปดูก็เป็นได้

สามร้านอาหาร
อันนี้อาจจะต้องเสริมเข้าไปว่าถ้าพ่อครัวทำอาหารไม่อร่อยก็ไม่ควรเปิด เพราะมีแต่ค้าใช้จ่าย ปู่เล่าเหมือนกับว่ามีคนรู้จักเปิดร้านอาหาร แล้วโดนขโมยของในร้าน เช่น ช้อนซ้อม จานชาม และอื่นๆ อีกทำให้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงขึ้น แต่คนเข้าร้านไม่ได้สูงตามทำให้ร่ายจ่ายมากกว่ารายรับและขาดทุนไปนั้นเอง ซึ้งผู้เขียนก็เคยเปิดร้านขายโจ๊กในห้างสรรพสินค้าและขาดทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเอง

สี่นักการเมือง
มีคำกล่าวว่าหากไม่พร้อมอย่างเล่นการเมือง หากเป็นคนซซื่อสัตย์ห้านเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด คุณปุ่มีเพื่อนักการเมืองที่ซื้อสัตย์ไม่โกงกินบ้านเมืองแต่มีฐานะดีเป็นเศรษฐีเก่าแต่ก็ต้องหมดตัว เพราะต้องนำเงินไปหาเสียงและช่วยชาวบ้าน โดยที่ตนเองไม่เคยโกงกินเงินหลวงหรือภาษีของประชาชนเลย ทำให้รายจ่ายมากกว่ารายได้มหาศาลและทำให้หมดตัวไปนั้นเอง

จริงๆแล้วอาชีพห้ามประกอบนั้นค้อนข้างเป็นความเห็นที่คุณปู่เล่าจากประสบการณ์ ผู้เขียนจึงเสริมความเห็นของคุณปู่ว่าอาชีพที่ห้ามประกอบจริงๆคืออาชีพที่ ไม่ถนัดมากกว่า กล่าวคือคำว่าไม่ถนัดประกอบด้วยความไม่รู้จริง ความไม่ชอบเป็นทุนเดิม และความขี้เกียจในนิสัย เพราะหากใครก็ตามทำอะไรบางอย่างด้วยความรักมักทำออกมาได้ดีเมื่อออกมาได้ดีประกอบกับความรู้จริง เช่น การตลาด ลูกค้า สถานที่ วัตถุดิบ กระบวนการ และไม่มีความขี้เกียจเข้ามาปนเปื้อนในชีวิต จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดๆก็ตามนั้นเอง

ช่างไม้

สิ่งหนึ่งที่คุณปู่ชอบทำมากหลังเกษียณคือการประดิษฐ์สิ่งของต่างด้วยไม้ ในวัยเด็กของผู้เขียนจำได้ว่าในบ้านมีช้างที่ตัวใหญ่ที่เกาะสลักจากไม้ คุณปู่จะใช้เวลาว่างในการขัดช้างตัวนั้นและลงชเลกเองด้วยตัวเองจนเสร็จถึงจะใช้เวลานาน หลังจากทำช้างเสร็จคุณปู่ก็ลงมือขัดเก้าอี้ไม้บริเวณชั้นลอยของบ้าน และซ้อมแซมส่วนที่สึกหรอและลงชเลกเอง แม้กระทั้งตั๋งไม้ (เก้าอี้ขนาดเล็กทำด้วยไม้) คุณปู่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในงานไม้จำนวนมาก และจะลงมือทำเองเสมอไม่ว่าจะเป็นการตัด การประกอบ การขัดด้วยกระดาษทราย การลงชเลก สามารถนำมาใช้งานได้จริงแม้กระทั้งกระดานหมากรุกคุณปู่ก็ลงมือทำเอง 

คุณปู่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงเพราะงานไม้นั้นจะว่าไปก็ไม่ง่ายเลยผู้เขียนเคยช่วยคุณปู่ขัดเก้าอี้ด้วยกระดาษทรายรู้เลยว่าเมื่อยมากและเหนื่อยไม่ใช้น้อยเลย แต่คุณปู่ก็ทำสำเร็จโดยดีเสมอมา แสดงให้เห็นถึงความวิริยะ อุตสาหะ ของคุณปู่นั้นเอง  


นักหมากรุก

ในวัยเด็กผู้เขียนชอบเล่นหมากรุกมาก โดยเฉพาะการเล่นหมากรุกกับพี่ชาย คุณปู่เล่าว่าในสมัยโบราณหมากรุกห้ามนำมาเล่นในบ้านเพราะจะทำให้เสียงานเสียการ การเล่นหมากรุกจะใช้เล่นกันในวัดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ เพราะการเล่นหมากรุกนั้นใช้เวลานานบางเกมส์เล่นกันหลายชั่วโมง ผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นหมากรุกกับคุณปู่สมัยตอนเป็นเด็กแต่ไม่เคยสามารถเอาชนะคุณปู่ได้เลยซักครั้ง จนขึ้นเรียนชั้นมัธยมต้น ผู้เขียนเข้าชมรมหมากรุกของโรงเรียนและได้รางวัลอันดับหนึ่งของการแข่งขันกีฬาสี ก็กลับมาขอประลองกับคุณปู่อีกครั้งหนึ่งใช้เวลาเล่นประมาณสามชั่วโมงกว่าปรากฎว่าผู้เขียนสามารถเอาชนะคุณปู่ได้อย่างเฉียดฉิว หลังจากนั้นมาคุณปู่ก็ไม่เขียนเล่นหมากรุกกับผู้เขียนอีกเลย ผู้เขียนก็ต้องพาตัวเองไปแข่งตามที่ต่างๆ เช่นสนามหลวงแต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัลใด รางวัลสูงสุดที่เคยได้คือรางวัลหมากรุกเยาวชนอันดับเจ็ด หลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นมาอย่างยาวนาน

เป็นเรื่องที่เล่าที่ไรก็อมยิ้มเสมอ เสมือคุณปู่งอลที่ผู้เขียนสามารถเอาชนะได้ แต่เชื่อผมเถอะครับคุณปู่เล่นเก่งมากไม่เคยผิดพลาดในการเดินเลยซักครั้ง ผู้เขียนถึงไม่เคยชนะได้ แต่อาจด้วยคุณปู่อายุมากขึ้นทำให้ไม่สามารถนั่งเล่นเป็นเวลานานได้ เลยทำให้แพ้ผู้เขียนนั้นเอง

ไอ้แต้ม

มีเรื่องน่าชวนคิดอยู่ซักนิดเกี่ยวกับสุนัขที่บ้านเราเลี้ยงโดยปกติสุนัขที่บ้านเราเลี้ยงนั้นจะอยู่แต่บริเวณชั้นล่างของบ้าน มีแต่ไอ้แต้มตัวล่าสุดนี้ละที่มีโอกาสขึ้นมาอยู่บนบ้านได้ เสมือนคุณปู่รักสุนัขตัวนี้มาก แต่ผู้เขียนมีมุมมองที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ คุณปู่กระทำตนเป็นกาวสมานความสามัคคีให้กับคนในบ้าน และการที่ผู้เขียนเป็นคนนำไอ้แต้มเข้ามาเลี้ยงในบ้าน ผู้เขียนเข้าใจว่าคุณปู่คงไม่อยากขัดใจผู้เขียน แต่อยากให้ผู้เขียนสบายใจเลยไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนอะไร แค่คอยบอกให้ดูแลฉีดยาหาอาหารให้ดีเท่านั้น

คุณปู่แสดงให้เห็นถึงความอดทนและความเสียสละในฐานะผู้นำครอบครัว เพื่อที่จะให้ทุกคนในครอบครัวสบายใจ และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขนั้นเอง ผู้เขียนรู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวของผู้เขียน ที่ไม่เคยเข้าใจจิตใจของผู้เป็นปู่ และอยู่ในวัยเกษียณที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ต้องมานั่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในบ้านซื้งผู้เขียนมิอาจขอแก้ตัวได้อีกแล้ว

บทส่งท้าย

เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรวบรวมจากสมองหางอึ่งของผู้เขียน แต่ในความเป็นจริงนั้นคุณปู่มีเรื่องราวเรื่องเล่าอีกมากที่เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิต แต่ด้วยความโง่เขราเบาปัญญาของผู้เขียนทำให้ขณะที่คุณปู่ยังมีชีวิตและเล่าเรื่องการใช้ชีวิตนั้น ผู้เขียนมิได้จดบันทึกใดๆ เป็นความเสียดายอย่างสุดแสนหาสิ่งใดเปรียบได้

สุดท้ายนี้ขอให้ดวงวิญญาณของคุณปู่ไปสู่สุคติและผู้เขียนขอน้อมรับคำสอน คำดุ คำด่า การประพฤติตนเป็นแบบอย่างของคุณปู่ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้สมกับที่เกิดมาภายใต้ชื้อว่าเป็น หลานของ พล.ต.ต สันติ มลิทอง สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากเรื่องที่ผู้เขียนราบรวมมา เพื่อเป็นนิทานสอนใจและแสดงให้เห็นถีงการใช้ชีวิตที่น่ายกย่องควรแก่การเชิดชู ของคุณปู่ที่ผู้เขียนมิอาจเล่าคุณความดีได้หมดภายในระยะเวลาอันสั้น

อาลัยรัก
สิทธินันท์ มลิทอง
23 กุมภาพันธ์ 2559

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

THE MESSAGE


THE MESSAGE 
19 กุมภาพันธ์ 2559

หลังจากเสียปู่ไปแล้ว 3 วัน สิ่งที่หลานชั้นเลวอย่างผมอยากให้เกิดมาที่สุดคือ เรื่องที่เล่ากันว่า วิญญาณผู้เสียชีวิตจะกลับมาหลังเสีย 3 วัน แต่ปู่ไม่กลับมาเลย น่าจะเป็นว่าปู่หมดห่วงแล้ว ปู่ทำอะไรหลายอย่างและเสียสละมหาศาลมาก พระคุณปู่ที่ผมไม่เคยได้ตอบแทน ดังที่มีหลายท่านได้กล่าวไว้ "ให้ทำดีที่สุดกลับคนที่เรารักอย่าทำดีหลังจากคนที่เรารักจากไปแล้ว" น่าเศร้าที่เราไม่มีวันรู้อนาคต และผมไม่มีวันได้ตอบแทนพระคุณปู่อีกแล้ว ถึงจะซื้อของที่ปู่ชอบไปเคาะโรงศพก็ไม่มีทางที่ปู่จะได้ทาน 

ดังนั้นสิ่งที่หลานชั้นเลวคนนี้พอจะทำได้คือรวบรวม ลายมือปู่ ที่เขียนอยู่ตามที่ต่างๆในบ้านเพื่อสอนหลานเลวๆ อย่างผม มารวบรวมไว้ให้เตือนใจกับท่านที่ยังมีคนที่รักอยู่เสมอว่า วันที่มีปู่หรือคนที่ท่านรัก โปรดทำตามที่ท่านสอนอย่าขัดใจท่าน เพราะวันหนึ่งที่ท่านจากไปท่านจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดาย เมื่อยังมีเวลาอยู่ร่วมกัน นั้นละครับที่ผมอยากบอก

SANTI' SIGNATURE



การประหยัด ปู่พูดเสมอครับ ไฟที่ไม่ใช้ให้ปิด น้ำที่ไม่ได้ใช้ให้ปิด ช่วยกันดูแล ตรงไหนใครลืมเราก็ช่วยกันได้ ค่าไฟที่บ้านตกเดือนละหลายพัน ปู่ก็เป็นคนจ่าย เรียกว่าปู่ช่วยดูแลมาโดยตลอด ดังนั้นปู่จึงไม่อยากเห็นใครเปิดไฟทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น แต่ก็อยากให้ทุกคนสามารถอยู่ในบ้านได้อย่างมีความสุข







ปู่จะมีการเตือนสติคนในบ้านอยู่เสมอ ว่าแต่ละช่วงเวลามีเหตุการณ์อะไรบ้าง แต่ปู่จะไม่พูดออกมาตรงๆ ปู่เคยบอกว่า ฉันไม่อยากทำให้ใครไม่สบายใจ ดังนั้นวิธีที่ปู่ใช้เตือนสติคือการ เขียนลง บอร์ดหรือกระดาษเพื่อ  เตือนสติคนในบ้าน ดังในรูป ปู่กำลังบอกว่าค่าน้ำ เพิ่มจากเดือนที่แล้ว น่าจะมีอะไรพิดพลาด ช่วยกันสอดส่องดูแลนะ






การประหยัดไม่ได้หมายความว่าจะได้ประโยชน์แค่คนในบ้าน แต่ยังสามารถรักษาโลกให้น่าอยู่ได้นานๆ เช่น ช่วงที่ประเทศไทยเราอยู่ในสภาวะแห้งแล้ง หากทุกคนช่วยกันคนละนิดประหยัดเราจะสามารถ ลดการใช้น้ำโดยไม่จำเป็นได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างการแปลงฟันโดยไม่เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ ก็ช่วยลดการใช้น้ำได้แล้ว การไม่เสียบปลั๊กทีวี ขณะที่ไม่ได้ดู การถอดปลั๊กไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานก็ช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้มากเช่นเดียวกัน







บางครั้งการแก้ปัญหาง่ายของอุปกรณ์เก่าๆในบ้านก็เป็นเสมือนเส้นผมบังภูเขา เช่นการยกที่กดชักโครกขึ้นก็ง่ายด่าย จนบางครั้งเราก็มองข้าม แต่ปู่ไม่เคยมองข้ามรายละเอียดเล็กๆน้อย และพยายามฝึกหลานๆให้มองเห็นรายละเอียดเล็กน้อยที่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้าม แต่ถ้าเรามองให้ดีเราก็จะสามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น


จะเห็นได้ว่าปู่จะเขียนติดไว้ตามที่ต่างเพื่อกันลืม เอาจริงๆดูท่าน หลานบ้านนี้ขี้ลืมมากๆ ปู่จะติดเอาไว้่เวลาเดินผ่านจะได้มองเห็นและนึกได้ว่าต้องทำอะไร เช่น การเปิดปิดปั้มน้ำ หรือเครื่องสูบน้ำที่ใช้สูบน้ำจากบ่อใต้บ้านขึ้นไปบนแท้งน้ำที่ดาดฟ้า เราจะเปิดตอนเช้าและปิดตอนเย็น ถ้าลืมเปิดตอนเช้า อาจจะไม่มีน้ำใช้ในบ้านได้ แต่ถ้าลืมปิดตอนเย็น เครื่องจะทำงานตลอดเวลาที่ให้เสียค่าไฟเป็นจำนวนมาก 




ความละเอียดของปู่ไม่ใช้แค่การมองหาความผิดพลาด แต่การรักษาหรือป้องกันการเสียหาย ก็เป็นหนึ่งในความพิเศษของคุณปู่ เช่น การใช้สายยางฉีดน้ำถ้าเราใช้เสร็จและไม่เก็บให้เรียบร้อย สายยางอาจจะหักหรืองอทำให้ใช้งานได้ไม่นาน ก็เสียหาย มีรอยรั่วหรือซึม ทำให้ไม่สามารถใช้น้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และต้องซื้อใหม่เร็วขึ้น การป้องกันหรือการรักษา ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในการใช้ชีวิตด้านต่างๆ ได้ เช่นการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะประสบพบเจอ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆ ก็ตามเราก็จะสามารถผ่านมันไปได้ ความพร้อมของชีวิต มักจะประกอบด้วย ความรู้ ความคิด และการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความชำนาน และความเคยชิน จนติดเป็นนิสัยประจำตัว เป็นนักแก้ไขปัญหาชั้นเลิศ และสามารถมีชีวิตที่เป็นปกติสุขได้นั้นเอง





ปู่เป็นคนรักความสะอาดครับ และเป็นพ่อครัวชั้นเลิศ แต่จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาตอาหารฝีมือคุณปู่ เท่าไรนัก เพราะหากผมอยู่บ้าน ผมก็จะเตรียมอาหารให้คุณปู่ ถ้าคุณแม่อยู่บ้านคุณแม่ก็จะเตรียมอาหาร ถ้าน้องชายอยู่น้องก็จะเป็นคนเตรียมอาหาร แต่ถ้าไม่มีใครอยู่ปู่ก็จะเตรียมอาหารทานเอง สรุปคือ คนที่ได้ลิ้มลองอาหารของปู่ก็มีแต่ปู่คนเดียว ปู่บอกเสมอว่าอร่อย และอาหารโปรดอันดับต้นๆ ของปู่คือกุนเชียงครับ ต้องมีติดบ้านอยู่เสมอไป หากไม่มีปู่จะให้หามาจนได้ บางครั้งก็ต่างคนต่างซื้อมาชนกันเยอะมาก แต่บางครั้งก็ลืมจนไม่มี ปู่จะใช้เครื่องอบอาหารเพื่ออุ่นกุนเชียง และในเตาอบนี้เองครั้บ มีที่รองน้ำมั้นจากอาหาร แต่ผมมักจะไม่ค่อยชอบใช้เพราะบางครั้ง อาหารจะติดกับถาดรองน้ำมัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำมันจะหกเละเทะเครื่องอบและมีรอยไหม้ ที่เครื่องเสมอ จนคุณปู่ต้องน้ำป้ายมาติดเพื่อเป็นการถนอมเครื่องอบไปในตัว ป้ายหรือข้อความไม่ได้สำคัญครับ สิ่งสำคัญคือลายมือปู่ที่แฝงความรักความเอ็นดูและการสอนเพื่อให้เราเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบนี้เอง





คนเกษียณอายุการทำงานส่วนใหญ่ทำอะไรกันครับ ผมไม่แน่ใจนักแต่สิ่งที่ปู่ผมทำและทำเก่งมาก คือการลับมีด ไม่ใช้มีดใหญ่โตที่ใช้เป็นอาวุธนะครับ แต่เป็นมีดทำครัว ปู่ชอบมากมีหินส่วนตัวและลับมีดทุกอันที่มีในบ้านเป็นงานอดิเรกเลยก็ว่าได้ นั้นละครับ แต่สิ่งที่หลานชั้นเลวคนนี้ทำคือ ใช้มีดที่ปู่ลับให้อย่างดี แล้วไม่ล้างนั้นเอง เป็นความมักง่ายที่ไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะทำให้เกิดความสกปกและคราบน้ำมันหรือเศษอาหารติด ปู่เลยต้องออกโรงเองเสมอถึงขั้นติดป้ายให้ล้างมีดเลยละครับ นอกจากการลับมีดและสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆในบ้านคือ มีดหายเป็นประจำในบ้านจะมีมีดหลายสิบด้าม แต่มักจะค่อยๆหาย ทีละด้าม และเชื่อผมเถอะครับปู่ก็ซื้อมีดใหม่มากพอๆกับการลับมีดนะละครับ








อีกสิ่งที่บ้านนี้ชอบมากคือกล่องพลาสติกครับ เต็มบ้านไปหมด ทั้งแม่ทั้งปู่ซื้อมาทุกครั้งที่เดินห้าง และสามารถมองห็นได้ แต่ปัญหาก็ไม่วายตามมาคือ กล่องพลาสติกหายครับ ไม่หายทั้งอัน แต่บางอันฝาหาย บางอันตัวกล่องหาย ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ปู่ผม นักแก้ปัญหาชั้นเลิศจัดการลงมือทำคือ การติดสติกเกอร์เป็นสัญลักษณ์ว่าตัวกล่องและฝาของมันคืออันไหน บางครั้งติดหนึ่งชิ้น บางอันติดสอง สาม หรือสี่ บางครั้งสีแดง สีเหลือง เยอะมากครับ แต่ผลก็ออกมาด้วยดีคือ กล่องไม่หายออกจากกันและอยู่กันครบคู่เสมอครับ






ประตูที่เปิดแล้วไม่ปิดมีโอกาสที่จะโดนลมพัดปิดเองได้ วิธีแก้ปัญหาเบื้องตนคือการนำก้อนอิฐมาวางกั้นไว้เพื่อไม่ให้ลมพัดประตูปิดเกิดเสียงดังและประตูเสียหายได้ เราเลยนำอิฐมาวางกั้นไว้ แต่ปัญหาก็ยังไม่วายเมื่อหลานชั้นเลวอย่างผม ลืมนำอิฐมาวางกั้นประตู คุณปูเลยต้องติดคำแนะนำให้เห็นชัดเจน ว่าตรงไหนต้องทำอะไรเพื่อไม่ให้เราลืมนั้นเอง คล้ายกับการทำ TQM หรือ PDCA มากผมมั่นใจว่าปู่ไม่น่าจะรู้หลักการนี้แน่ แต่ปู่สามารถคิดค้นหลักการนี้ได้ด้วยตนเอง นั้นคือหลักการบริหารพฤติกรรมคนในบ้าน หากนำผมการวิจัยและสถิติการเปิดปิดประตูของปู่มาเขียนเป็นหนังสือ น่าจะเขียนได้หลายเล่มพอสมควรเลยละครับ





ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของปู่คือการจัดของเป็นหมวดหมู่ แล้วจัดลงกล่องพร้อมกับการติดป้ายชื่อกำกับ เพื่อให้สะดวกกับการนำออกมาใช้และการจัดเก็บ ดังนั้นในบ้านจะมีกล่องที่ปู่จัดเก็บและเขียนป้ายไว้เป็นจำนวนมาก นิสัยการเป็นระเบียบนี้น่าจะตกมาถึงหลานบ้างไม่มากก็น้อย บอกได้เลยว่าปู่ลายมือสวยมากครับ






แม้แต่เศษไม้ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ หากเราสามารถมองเห็นประโยชน์ของสิ่งต่างๆรอบตัวเราได้ ปู่นำได้มาวางทับผ้าคุมถังซักผ้า เพื่อไม่ให้ถังซักผ้าโดนน้ำโดนแดดและเสียหายก่อนถึงเวลา นั้นเอง ประเด็นนี้น่าสนใจที่ปู่สามารถมองเห็นประโยชน์ของสิ่งต่างๆมากกว่าคนอื่นๆ และไม่มองข้ามสิ่งเล็กสิ่งน้อย ประเด็นนี้คือหากเราสามารถมองเห็นประโยชน์ของสิ่งของหรือประโยชน์ของมนุษย์ทุกคน เราก็จะสามารถบริหารจัดการสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดนั้นเอง เอาไปใช้ในการบริหารคน บริหารงาน บริหารตนเองได้เป็นอย่างดีครับ





ปู่เขียนทุกอย่างเพื่อบอกประโยชน์ของสิ่งต่างๆ เช่นนำเฟืองรถที่ไม่ได้ใช้แล้วมาเป็นที่ทับกระดาษ พร้อมกับเขียนระบุลงไปเลยว่าเรานำสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์อะไร หรือการจดเพื่อช่วยจำว่ากุญแจดอกไหนของที่ไหนเพื่อให้เราไม่ลืมและสะดวกเมื้อใช้งาน ประเด็นการจดก็เมื่อกับการเขียนนั้นละครับ อะไรก็ตามที่อยู่ในหัวแต่ไม่เขียนออกมามักจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ แต่อะไรก็ตามที่เราคิดและสามารถเขียนออกมาได้ก็จะทำให้เรา สามารถนำสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาใช้ประโยชน์ได้นั้นเอง




ช่วงแรกที่เรานำหลอดไฟ LED มาใช้งานนั้นเป็นที่น่าปวดหัวเวลาเปิดว่าต้องเป็นด้วยสวิซต์ตัวไหน คุณปู่ก็ช่วยจัดให้โดยการเขียนบอกเลยครับว่าต้องเปิดหลอดไหน และหลอดไหนไม่ควรเปิด เพราะหลอด LED นั้นประหยัดไฟกว่าหลอดปกติถึงสองเท่าเลยทีเดียว แต่มีราคาสูงกว่าหลอดราคาปกติ เชื่อเถอะครับครั้งแรกที่ผมแนะนำปู่ให้เปลี่ยนเป็นหลอด LED ซื้อมาเปลี่ยนแทบไม่ทันหลายสิบหลอดเลยละครับ








มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ กล่าวคือ เตารีดผ้าเสีย ผมก็ซื้ออันใหม่มาให้ปรากฏว่าปู่ไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะมีขนาดใหญ่ไม่สามารถใช้งานได้สะดวก ปู่เลยไปซื้อมาเพิ่มอีกหนึ่งเครื่อง แต่มีปลั๊กเสียบร่วมกันอยู่ แต่ปู่ก็ถนอมน้ำใจหลานมากๆ โดยปู่จะไม่ถอดปลั๊กออกแต่ติดว่าให้ถอดออกซักหนึ่งอันที่ไม่ใช้ และเสียบเฉพาะเตารีดที่ต้องการใช้งานนั้นเองครับ







อีกสิ่งหนึ่งที่หลานชั้นเลวตอบแทนปู่คือสูบบุหรี่บนรถ คุณปู่เลิกสูบบหรี่มาตั้งแต่ปี 2535 เพราะกลัวหลานเหม็นบุหรี่ แต่สิ่งที่หลานทำคือสูบบุหรี่บนรถ ปู่ก็เลยติดป้ายเตือนสติว่า ควันบุหรี่เป็นสารพิษสร้างความเดือดร้อนให้กับคนที่เรารัก ฉะนั้นไม่แนะนำให้สูบบนรถ








DIARY หน้าสุดท้าย 14 กุมภาพันธ์ 2559

สิ่งที่น่ามหัศจรรย์และพฤติกรรมที่ต้องส่งต่อ คุณปู่จะจดบันทึกลงสมุด DIARY เป็นประจำทุกวัน การจดบันทึกหรือการเขียนอะไรบางอย่างที่ถูกการไตร่ตรองทางความคิดออกมานั้น จะช่วยในการพัฒนาศักยภาพของสมองได้อย่างน่า อัศจรรย์ มีการวิจัยมากมายรองรับทฤษฎีดังกล่าว และข้อพิสูจน์จากปู่เลยว่าการจด DIARY ของปู่ทำให้ปู่ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์และมีความจำที่ดี แม้บางครั้งความชราอาจเป็นอุปสรรคในการพูด แต่ปู่สามารถคิดวิเคราะห์ไต่ตรองได้เป็นอย่างดี วิเคราะห์และสังเคราะห์เรื่องราวพร้อมหาทางออกดีๆที่เป็นที่ยอมรับอยู่เสมอ จนบางครั้งไม่สามารถหาข้อโต้แย้งปู่ได้เลย เพราะปู่ไม่ใช่แค่นักอ่านแต่เป็นนักเขียนขั้นยอดอีกต่างหาก

สำหรับรูปภาพลายมือของปู่ผมขออนุญาตในการแผยแพร่โดยปริยาย เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่ได้มีโอกาสอ่าน นำการประพฤติ ทัศนคิ แนวคิด ของคุณปู่ไปเป็นตัวอย่างประกอบการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าปู่เป็นต้นแบบที่ดีให้กับหลายชั้นเลวสมองเท่าหางอึ่งคนนี้มาโดยตลอด แต่ด้วยสมองที่เท่าหางอึ่งของผมทำให้ไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ปู่ต้องการบอกผ่าน ลายมือของปู่อยู่เสมอ จนถึงวันที่ไม่มีปู่ผมถึงได้มานั่งไตร่ตรองวิเคราะห์สิ่งต่างๆและสิ่งที่ปู่ทิ้งไว้ให้

สิ่งที่ปู่ทิ้งไว้ให้ไม่ใช้แก้วแหวนเงินทองของมีค่าในตลาด แต่เป็นภูมิปัญญาและวิธีชีวิตของปู่ที่มีค่าแก่การยกย่องเชิดชู เพื่อให้หลานสามารถนำไปเป็นแบบอย่างและสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของความเปลี่ยนแปลงและใจตนเองนั้นเองครับ



ภาพทานอาหารร่วมกันกับคุณปู่



อาลัยรัก จากหลานชั้นเลว
สิทธินันท์ มลิทอง
20 กุมภาพันธ์ 2559






วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

MY BEST GRANDFATHER





ปู่ผมชื่อ พล.ต.ต สันติ มลิทอง

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 06.00 น. ขณะตื่นจากโรงแรมในจังหวัดนครราชศรีมา ได้รับข่าวจากคุณแม่ว่าคุณปู่เสียแล้วให้กลับบ้านด่วน ขณะนั้นผมเดินทางมาบรรยายให้กับทางบริษัท ที่เดอะมอลล์นครราชสีมา ตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558 วันที่เดินทางมาก็ได้ทราบข่าวจากคุณแม่ว่า คุณปู่เข้าโรงพยาบาลเนื่องจากอาการเหนื่อย โดยปกติคุณปู่จะไปตีกอร์ฟทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ตั้งแต่หลังเกษียณอายุราชการตำรวจตั้งแต่ปี 2535 แต่ช่วงหลังปู่จะไปตีกอร์ฟเฉพาะวันจันทร์ เนื่องจากอายุที่มากขึ้นประกอบกับโรคชรา

ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้นแต่ไม่มีใครอยากให้เกิดและไม่มีทางรู้ว่าจะเกิด นั้นคือความรู้สึกแรกหลังจากรับโทรศัพท์ ปู่เป็นบุคคลตนแบบในหลายๆด้านในชีวิต ทั้งการทำงานการครองเรือน การใช้ชีวิตให้กับลูกๆหลานๆและบุคคลรอบข้าง เป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในครอบครัวให้มีความสามัคคี ดูแลซึ่งกันและกัน คำสอนของปู่มีอยู่มากมายเหลือคณานับได้

บ้านที่อยู่อาศัยของปู่อยู่ที่ กรุงเทพมหานคร ปู่อยู่กับย่า แม่ผม และหลานทั้งสองคือ น้องชายผม บีด หรือ นวันธร มลิทอง บัณฑิตนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผม สิทธินันท์ มลิทอง บัณฑิตรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ความเสียใจของผมคือ คุณปู่ไม่ได้อยู่เห็นความสำเร็จของผมที่กำลังศึกษา รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่ทำได้เพื่อคุณปู่ที่ล่วงลับคือการปฏิบัติตนตามคำสอนของปู่

คุณปู่ให้คำสอนเยอะมากในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเขียนคำสอนติดตามส่วนต่างๆของบ้านและบนรถ ถือว่าผมเป็นเด็กดื้อพอสมควร คำสอนที่ผ่านการพูดคุยกันระหว่างมื้ออาหาร หรือเวลาว่างๆของวันก็นั่งคุยกันภายในบ้าน ทางข้อความ และทางโทรศัพท์ในบางครั้ง


คำสอนของปู่

ขยัน ปู่สอนเสมอเรื่องการตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ ปู่เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ปู่เล่าให้ฟังสมัยเป็นนักเรียน ว่า ต้องอ่านหนังสือตลอดเวลา บางวันอ่านจนดึกบางวันตื่นมาอ่านหนังสือแต่เช้าเพื่อที่จะมีความรู้สู้กับเพื่อนในรุ่นได้ ถึงปัจจุบันถ้ามาเที่ยวบ้านปู่จะเห็นว่าหนังสือเต็มบ้านไปหมด เรียกว่าเป็นครอบครัวนักอ่านเลยก็ว่าได้ครับ ผมก็ติดเชื้อการอ่านมาจากคุณปู่บ้างเล็กน้อย เรียกว่าเพิ่งจะมาติดได้ สองถึงสามปี หลัง หนังสือที่ปู่ชอบอ่านมากคือ เนชันเนล จีโอกราฟฟิค ฉบับภาษาไทย ปู่จะรับเป็นสมาชิกรายปี ปู่บอกว่ามีความรู้และมีประโยชน์มากเพราะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีการวิเคราะห์แล้วจากทั่วโลกและได้รับการยอมรับจากนักวิชาการว่าสามารถนำมาอ้างอิงได้ ความขยันของปู่ไม่ใช่แค่การอ่าน แต่รวมถึงการทำงาน ผมอาจเกิดไม่ทันช่วงที่ปู่รับราชการ แต่ปู่เล่าให้ฟังเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบรรจุราชการตำรวจครั้งแรก อยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ ต้องเดินเท้าหรือขี่ม้าเข้าไปยังพื้นที่ ต้องดูแลชาวบ้าน เวลาทำงานของปู่ที่เป็นราชการตำรวจคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ 4 สัปดาห์ต่อเดือน 12 เดือนต่อปี นั้นหมายความว่าคุณปู่ทำงานตลอดเวลา หรืออีกนัยหนึ่งคือเวลาราชการคือทุกเวลานั้นละครับ มีเรื่องหนึ่งที่ปู่เล่าให้ฟังว่า ขนาดที่นอนพักอยู่ที่บ้านพักในต่างจังหวัดเวลาประมาณตีสอง ชาวบ้านก็มาเรียกบอกเกิดเหตุ ฆาตกรรม คุณปู่เล่าว่าก็ต้องรีบแต่งตัวและออกไปที่เกิดเหตุ และดำเนินการตามวิธีของตำรวจ และมีอีกหลายเรื่องครับ ปู่จะพร้อมเสมอสำหรับให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเวลาส่วนตัวหรือตอนไหนก็ตาม แนวคิดนี้ทำให้ผมติดตัวเรื่องของการทำงานมาด้วย กล่าวคือ การทำงานเราต้องมีความพร้อมตลอดเวลา เตรียมตัวเตรียมใจและทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดอยู่เสมอ นั้นคือความหมายของการมีชีวิต ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ทำตำแหน่งใหญ่โต หรือตำแหน่งเล็กๆ คุณได้ทำหน้าที่ของคุณอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง

ประหยัด ปู่เล่าว่าสมัยตอนเป็นเด็กประเทศไทยหลังช่วงสงคราม ข้าวยากหมากแพงอาหารดีๆ หาทานยากมาก การมีข้าว กับข้าวดีทานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ดังนั้นการได้ทานข้าวและกับข้าวดีๆนั้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เรียกว่าโชคดีมาก คำสอนติดตัวผมมาเสมอครับ ทานข้าวเยอะๆทานกับน้อยๆ ทานให้อิ่มเป็นดี ทำให้เราเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย กินอะไรก็ได้ข้าวไข่ดาวก็อยู่ได้ ปู่ชอบทานข้าวบ้านชอบทานข้าวกันครบหน้าคนในครอบครัว ปู่มักจะเล่าเรื่องต่างๆในอคีตให้ฟังระหว่างทานอาหารเย็นร่วมกัน หากวันไหนเป็นวันดี หรือวันพิเศษเราจะออกไปทานข้าวนอกบ้านกันซักครั้ง บางทีผมก็พาไปทานอาหารนอกบ้านบ้าง ตามแต่สถานการณหรือวันพิเศษต่างๆ

วินัย ตามธรรมชาติตำรวจและนักเรียนเตรียมครับ วินัยมาที่หนึ่ง ทุกอย่างต้องทำอย่างมีวินัย ทานข้าวตรงเวลา ปกติ 19.00 น. ทานข้าวเย็น ตอนเตรียมอาหารเย็นให้คุณปู่ต้องเตรียมการให้อาหารเสร็จ 19.00 น. พอดี เพราะคุณปู่ชอบทานอาหารร้อนๆ ไม่ชอบทานเย็นๆ ฉะนั้นการปรุงอาหารต้องกะเวลาให้พอดี พอคุณปู่ออกจากห้องเราต้องยกขึ้นไป และการทำอาหารต้องทำในปริมาณไม่มากเพราะคุณปู่ประหยัด วันไหนทำกับข้าวมากไปจะถูกดุ ต้องทำแต่พอดีและพอเพียง นัดหมายเวลาเช่นกันครับ ถ้าวันนี้นัดปู่ออกไปนอกบ้าน ปู่จะบอกเวลาที่แน่นอน เช่น 11.00 น.นั้นหมายความ 11.00 น. ต้องออกเดินทางหากเตรียมตัวไม่ทันก็จะถูกดุเช่นเคย หรือถ้านัดหมายกับคนอื่นที่นอกบ้านปู่ก็จะออกไปก่อนเวลาไม่ให้ใครมาคอยแต่เราจะไปแบบทันเวลาพอดี สิ่งที่ติดตัวเรามาคือการตั้งนาฬิกาให้เร็วกว่าเวลาปกติ 10 นาที นั้นหมายความว่าเราจะไม่มีทางไปไม่ทันนัดโดยเด็ดขาด เพราะปู่นัด 10.00 น. เราก็จะเสร็จก่อน 10 นาทีนั้นเอง วินัยทุกเรื่องครับ การซักผ้าต้องซักให้แต่ละครั้งมีจำนวนผ้าที่เหมาะสมไม่เช่นนั้นจะเป็นการเปลืองน้ำ การรีดผ้าปู่ก็จะสอนให้รีดกลางวันเพราะกลางคืนต้องใช้ไฟ ทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่ใช้เหตุ นั้นละครับ การสอนของปู่ที่ทำให้เราคิดอย่างเป็นเหตุ เป็นผล


ซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์เป็นสมบัติของลูกผู้ชาย ปู่มักจะสอนเสมอว่าเราไม่ควรโกหกใครโดยเด็ดขาด แต่ต้องสามารถหาทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่โกหก หรือคดโกงใครๆ โดยเด็ดขาด การโกงกินคนอื่นมาทำให้เราไม่มีความสุข ปู่เล่าเสมอว่าถ้าปู่โกงเหมือนคนอื่นป่านนี้บ้านเราคงร่วยมาก แต่หาความสุขมิได้ และปู่ก็ไม่ได้โกงใครเค้ามา ทำให้เราอยู่ได้อย่างพอเพียง และเป็นแบบอย่างให้กับผู้คนรอบข้าง เวลาปู่พาไปเทียวต่างจังหวัด ก็จะมีลูกน้องเก่าๆ เสนอตัวหาที่พัก อาหารการกินให้เสมอๆ โดยไม่ต้องร้องขอแต่อย่างใด แม้ปู่จะหมดอำนาจบารมีไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่น่านับถือของผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาเสมอ นั้นเป็นหลักฐานชัดยอดของการเป็น นายตำรวจผู้ซื่อสัตย์ มิได้เบียดเบียนใครมา



อดทน เกิดเป็นคนต้องอดทน เรื่องราวชีวิตของปู่เป็นข้อพิสูจน์ของคำว่าอดทน ปู่ไม่ได้เกิดในบ้านที่ล่ำรวย เป็นเด็กวัด แต่กัดฟันอดทนเล่าเรียนหนังสือ อดทนทำงาน อดทนต่อคนรอบข้าง เพื่อที่จะผ่านเรื่องราวที่ไม่ดีให้เราสามารถก้าวผ่านไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้เสมอ ปู่สอนว่าการครองชีวิตคู่มีครอบครัวต้องรู้จักอดทน ถนอมน้ำใจคนในครอบครัว ให้จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวบางเรื่องที่เรารู้ว่าไม่ถูกต้องบ้างครั้งก็ไม่ต้องพูดหรือแสดงออกมา แต่ให้ดูคนในครอบครัวว่ามีความพึงพอใจเช่นไร จะทำให้มีครอบครัวที่รักกันนานเป็นร่มโพดิ์ร่มไทรให้กับลูกหลานและผู้ที่เคารพนับถือ การรู้จักยอมถอยและการเสียสละคือสิ่งที่ปู่แสดงให้เห็นอยู่เสมอ ปู่เสียสละเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด สละความสุขหลังเกษียณ เพื่อให้หลานๆได้มีอนาคตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งหลานไปโรงเรียน การสอนหนังสือ การดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัว นั้นละครับ ความอดทนของปู่ที่อดทนมายาวนานหลายทศวรรษ จนเป็นแบบอย่างให้กับหลานๆ ในการนำสิ่งที่ปู่เป็นสิ่งที่ปู่ทำ ไปปฏิบัติเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตในอาชีพ



ก่อนเวลาที่ปู่จากไป เราได้มีโอกาส วีดีโอคอล คุยกันสั้นๆ ตอนนั้นปู่อยู่โรงพยาบาล ผมกำลังกลับที่พักจากการเป็นวิทยากรอบรม ที่เดอะมอลล์นครราชสีมา ปู่เหมือนอยู่ในหนังสตาร์วอส์ ใส่เครื่องพ่นยา โบกไม้โบกมือให้กับผมในวีดีโอคอล เป็นภาพสุดท้ายที่เราได้เจอกัน แต่ความทรงจำจะยังคงอยู่ชั่วนิรันด์







VDO CALL วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559
เวลา 19.30 น. ก่อนปู่จากไป  3 ชั่วโมง





อาลัยรัก
สิทธินันท์ มลิทอง 
17 กุมภาพันธ์ 2559

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

INTERNSHIP AT THAILAND ONLY





เรื่องที่ไม่มีความสำคัญ

เรื่องน่าสนใจในองค์กรที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง แต่ผมว่าเรื่องบางเรื่องที่เล็กๆ และไม่มีค่อยมีใครใส่ใจซักมักนำมาซึ้งผลกระทบหลายๆ ด้าน เรื่องนี้มีชื่อว่า นักศึกษาฝึกงานสำคัญฉะไหน แน่นอนว่าเกือบทุกองค์กรใหญ่ย่อมมีนักศึกษาฝึกงานเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานและก็เกือบทุกแผนกเลยละครับ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในปี 2557 มีนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาจำนวน 2,355,070 คน เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 – 4  จำนวน 1,488,311 คน นั้นหมายถึงกำลังจะมีนักศึกษาที่พร้อมจะเข้าฝึกงานตามสถานประกอบการ หน่วยงานราชการ และอื่นๆ อีกจำนวนมากเลยที่เดียว คำถามคือแล้วหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับนักศึกษาเข้าฝึกงานนั้นมีความพร้อมมากแค่ไหน และอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าพร้อมสำหรับหน่วยงาน ซึ้งเราจะมาช่วยกันหาคำตอบกันครับ

ทำไม่ต้องฝึกงาน

การฝึกงานก็สเมือนการเตรียมความพร้อมของนักศึกษาที่จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากมหาวิทยาลัย มาทดลองใช้ในการทำงาน เน้นครับว่าทดลองใช้ และเพิ่มทักษะบางอย่างที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนมา เช่น หลักการบังคับบัญชา การติดต่อประสานงาน การปรับตัวให้เข้ากับชีวิตการทำงาน เรียกได้ว่ามหาวิทยาลัยคือองค์ความรู้ สถานที่ฝึกงานคือประสบการณ์ และเมื่อนักศึกษาจบการศึกษาแล้วนั้น ก็จะได้นำทั้งความรู้และประสบการณ์ ไปใช้ในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นลูกจ้างเสมอ อาจจะออกมาเป็นผู้ประกอบการเองหรือรับสืบทอดกิจการของครอบครัวก็ได้ สรุปคือการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนทำงานจริง

ควรฝึกงานที่ไหน

ถ้ามีคนถามผมว่าควรฝึกงานที่ไหนผมก็คงตอบว่า แล้วแต่โชคชะตะจะนำพา เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสถานที่ฝึกงานที่ไหนจะให้ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่เราได้ แต่ถ้าถามว่าผมไปฝึกงานที่ไหน ผมก็สามารถให้คำตอบที่ง่ายขึ้น ผมฝึกงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตครับ ผมเรียนอะไร ผมเรียนรัฐศาสตร์ครับ บางท่านคงสงสัยว่าทำไมเด็กรัฐศาสตร์ถึงฝึกงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ไม่มีคำตอบที่แน่นอนครับ เพราะตอนนั้นบอกได้เลยว่าไกล้บ้าน ค่าใช้จ่ายน้อย จริงๆไม่น่าเอาเรื่องพวกนี้มาพิจารณาเลยครับ แต่ตอนเด็กใครจะไปคิดอะไรมากกว่านี้ละเนอะ งั้นเอาละถ้าไปฝึกงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแล้วได้อะไรบ้าง สิ่งที่ได้คือ รู้ว่าในหนึ่งปีมีนักศึกษาฝึกงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตปีละ 7,000 คน ครั้งแรกที่ได้ยินผมก็ไม่ค่อยเชื่อครับ แต่ตอนทานอาหารกลางวันแล้วเห็นชุดนักศึกษาเดินผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมด เสมือนอยู่ในมหาวิทยาลัยสักแห่งหนึ่ง นี้เป็นตัวแลขที่ประมาณการครับ บางปีมากบางปีน้อย ที่น่าสนใจคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจ่ายค่าอาหารกลางวันให้วันละ 100 บาท เฉลี่ยนักศึกษาฝึกงานประมาณ 70 วันโดยประมาณ ลองคำนวนครับ 7,000 คน x 100 บาท x 70 วัน เท่าไรครับ คำตอบคือ 49,000,000 บาท ที่ท่านอ่านอยู่ไม่ผิดครับแต่ที่สำคัญเหมือนไม่มีใครสังเกตเห็นตัวเลขนี้มากกว่า เพราะนักศึกษาฝึกงานถูกแยกออกเป็นตามฝ่าย ตามกอง และค่าใช้จ่ายจะไม่ถูกนำมาคิดรวมกัน พอดูจากตัวเลขเลยไม่สูงมาก ประกอบกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ ที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลและรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ซึ้งสูงมหาศาล ตัวเลขประมาณการปี 2558 รายได้อยู่ที่ 41,561.60 ล้านบาท แสดงว่าค่าใช้จ่ายกับนักศึกษาฝึกงานคิดเป็น 0.11 % น้อยมากกว่าที่จะมีใครสนใจ แต่ในบางสถานประกอบการอาจมีนักศึกษาฝึกงานน้อยกว่านั้นเช่น บริษัทด้านไอทีเปิดใหม่ (ของเพื่อนแฟนผมเอง) มีนักศึกษาฝึกงาน 2 คน และไม่มีค่าตอบแทนให้ งั้นเราควรฝึกงานที่ไหนละ คำตอบคือแล้วแต่ชอบ ถ้าโชคดีก็ได้หัวหน้างานดี โชคร้ายอาจเข้าไปขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงองค์กร แต่สิ่งที่อยากให้คำนึงถึงมากที่สุดคือ คุณชอบอะไร คุณอยากทำอะไรในอนาคต แล้วค่อยเลือกสถานประกอบการครับ เอกชน รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและยังไม่มีใครทำการวิจัยศึกษาที่ชัดเจน ผมคิดว่า การเตรียมความพร้อมนักศึกษาจำนวน 2,000,000 กว่าคน ก่อนเข้าสู่สังคม คงจะไม่มีความสำคัญสักเท่าไร เลยไม่มีใครให้ความสนใจเท่ากับการเป็นอยู่ของหมีแพนด้าแน่ๆ

นักศึกษาฝึกงานควรเตรียมตัวอย่างไร

สำหรับนักศึกษาที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางหลังจากเลือกสถานประกอบการแล้วนั้นสิ่งต่อไปคือการเตรียมตัว ง่ายครับแต่พูดอยาก  เช่น ไม่รู้จะแบบแผนปฏิบัติของแต่ละสถานที่ เช่น บางที่ต้องใช้เวลาในการพิจารณาเข้าฝึกงานค่อนข้างนาน เพราะสถานที่ทำงานบางแห่งให้ความสนใจกับภาพลักษณ์ รวมถึงทัศคติของนักศึกษา บางที่กลับไม่สนใจใดทั้งสิ้นและพร้อมจะรับหมดเพราะคิดแค่ว่าหาคนมาทำงานจิปาถะฟรี ค่าใช้จ่ายน้อย ดังนั้นสิ่งที่นักศึกษาต้องทำคือ โทรไปพูดคุยครับไม่ว่าจะเป็นคนที่เราติดต่อหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ เวลาทำงาน การแต่งกาย ภาระงานหลัก ความสนใจของสถานที่ฝึกงานกับกัวข้อศึกษาของนักศึกษา(บางทีเรียกสหกิจ บางที่เรียกการศึกษาตามความชอบ) เพราะบางครั้งสถานที่ฝึกงานก็ไม่ได้บอกตรงๆ ว่ามีความคาดหวังอย่างไร และตัวนักศึกษาเองบางทียังไม่รู้ตัวเลยว่าชอบเรื่องไหน หรือจะสามารถมองเห็นปัญหาที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน อาจารย์และมหาวิทยาลัยคาดหวังอย่างไร ดังนั้นสิ่งแรกคือโทรสอบถามเพื่อพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ


หาที่พักที่ไกลกับสถานที่ทำงานและราคาที่เหมาะสมบางที่อาจมีที่พักให้ บางที่ที่พักมีราคาค่าเช่าสูงต้องพิจารณาหลายแง่มุมครับ การได้ที่พักดีหมายถึงการเดินทางที่สะดวกและสามารถเดินทางมาถึงที่ทำงานได้ก่อนเวลางาน และสามารถทำงานต่อได้แม้จะเป็นเวลาหลังเลิกงาน

ประเด็นทั่วไปเช่นที่กินตลาดหรือร้านสะดวกซื้อ เพราะแท้จริงแล้วชีวิตการทำงานไม่ได้ว่างเหมือนในภาพยนต์การที่ต้องเดินทางไปหาอาหารหรือสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันเท่ากับเวลาที่ต้องศูนย์เสียในการพักผ่อนและเรียนรู้ หรือเรื่องการรักษาพยาบาลว่าตัวนักศึกษามีประกันสุขภาพอะไรบ้างจากสถานศึกษา เพราะเวลาเกิดเหตุฉุกฌฉินตนเป็นที่พึงแห่งตนครับ แต่ถ้าโชคดีได้พี่เลี้ยงดีก็รอดไป

และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ถามตัวเองครับ ต้องการอะไรจากการฝึกงานในครั้งนี้ และถามย้ำทุกครั้ง เขียนลงกระดาษ พูดหน้ากระจก ว่าต้องการอะไรจากการฝึกงานครั้งนี้ ได้คำตอบแล้วถามต่อ เพราะอะไรถึงอยากได้สิ่งนั้น ได้แล้วมีประโยชน์อย่างไร เน้นอีกครั้งครับ ต้องการอะไรจากการฝึกงานครั้งนี้ คำถามที่สองคือ จะนำสิ่งที่เล่าเรียนมาหลายปีไปใช้อย่างไรในการทำงาน คำถามลักษณะนี้ไม่ต้องห่วงครับท่านเจอแน่ถึงจะไม่ถามตัวเอง แต่วันที่คุณจบการศึกษาและกำลังเดินทางไปสัมภาษณ์งาน หัวหน้างานถามคุณแน่ๆครับ ว่าคุณมีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กร และจะนำสิ่งที่เล่าเรียนมาไปใช้ประโยชน์อย่างไร ที่ผมมั่นใจเพราะผมถามบ่อยเวลามีคนมาสัมภาษณ์กับผม และผมไม่ได้ต้องการคำตอบที่คลุมเคลือ แต่สิ่งที่อย่างได้คือวิธีคิดของนักศึกษาครับ อยากรู้ว่าในหัวมีกระบวนการคิดอย่างไร การหัวเราะไม่ได้ช่วยทำให้ได้งานทำ แต่การคิดจะทำให้ได้งานที่เหมาะสมกับตัวเรา นี้เป็นปัญหาหนึ่งที่ผมเจอเป็นประจำจากนักศึกษาจบใหม่ เพราะชอบหัวเราะกันมาก แต่ไม่สามารถตอบคำถามได้ ถุกคำถามไม่มีถูกผิด แต่การไม่คิดคือความผิดขั้นร้ายแรง  




วันเริ่มงาน

คำแนะนำสำหรับวันเริ่มงานคือ กระดาษ ปากกา และจดครับ จดทุกอย่างที่เป็นข้อมูล ถึงบางคนไม่จดให้เราจด เพราะความตื่นเต้นของการเริ่มงานใหม่จะทำให้ความจำของบกพร่องเล็กๆในช่วงแรกๆ ไม่ต้องตกใจแต่จะจดอะไรดีละน่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องจดโดยรวมๆแล้วมีดังนี้ครับ ชื่อพนักงานในแผนก ชื่อหัวหน้างาน เบอร์โทรศัพท์ E-MAIL (เชื่อสิเวลาส่งงานสะดวกมาก) โครงสร้างการทำงาน งานที่ได้รับมอบหมายหากไม่มีงานที่มอบหมายให้ถามและร้องขอ เพราะบางที่จะทดสอบดูนักศึกษาครับ ว่ามีความใส่ใจต่อการสังเกตุมากน้อยแค่ไหน การจดข้อมูลจะช่วยให้เราสามารถนำมาทวบทวนได้เวลาหลังเลิกงาน เพื่อที่ว่าวันรุ่งขึ้นจะได้พร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

พี่เลี้ยงควรทำตัวอย่างไร

การมีพี่เลี่ยงในที่ทำงานถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง บางที่ไม่มี บางที่หัวหน้างานเป็นพี่เลี้ยงให้ บางที่ให้นักศึกษาเลือกพี่เลี้ยงเอง จริงๆการได้พี่เลี้ยงก็เหมือนกับโชคชะตาครับ แต่ในบทนี้ผมไม่ได้เขียนถึงตัวนักศึกษาแต่อยากเขียนถึงพี่เลี้ยงที่กำลังอ่านอยู่ครับ ถ้ามีคนที่เคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักศึกษาฝึกงานอ่านงานเขียนผมอยู่นะครับ ลองตอบคำถามผมดู ถ้าท่านตอบได้หมดทุกข้อถือว่าท่านเป็นพี่เลี้ยงในตำนานเลยที่เดียว แต่ถ้าตอบถูกบางข้อท่านก็โชคดีครับ โชคดีที่ได้อ่านและรู้ตัวว่าจะต้องพัฒนาตนเองอย่างไรต่อไป แต่ถ้าตอบไม่ถูกสักข้อเดียว ก็โชคดีครับแต่โชคดีเพราะอะไรคิดเอาเองครับ

คำถาม
          นักศึกษาฝึกงานของท่านชื่อจริงว่าอะไร
          นักศึกษาฝึกงานของท่านมีอาจารย์ที่ปรึกษาชื่ออะไร
          อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาคาดหวังอะไรกับการฝึกงานครั้งนี้
          เอกสารอะไรบ้างที่ท่านจะต้องเซ็นให้กับนักศึกษา
          นักศึกษาฝึกงานของท่านเรียนคณะและเอกอะไร
          นักศึกษาฝึกงานของท่านมีความสามารถพิเศษและงานอดิเรกอะไร
          นักศึกษาฝึกงานของท่านมีเป้าหมายอะไรในชีวิต(อยากให้พี่เลี้ยงถามตัวเองด้วย)
          นักศึกษาฝึกงานของท่านพักอยู่ที่ใด
          นักศึกษาฝึกงานของท่านชื่อชอบหรือไม่ชอบอะไร

เอาละครับคำถามประมาณนี้จริงๆถ้าผมนั่งอยู่ด้วยผมจะถามมากกว่านี้อย่างแน่นอน แต่ผมไม่ได้นั่งอยู่หน้าทุกท่านดังนั้นแค่นี้น่าจะพอสมควรและคำถามอย่างนี้มีความสำคัญอย่างไรละ คำตอบคือไม่สำคัญและสำคัญครับ เพราะคำถามชุดนี้คือคำถามที่เกี่ยวกับความใส่ใจในนักศึกษาฝึกงานบางที่ให้นักศึกษา ซื้อกาแฟกับถ่ายเอกสารเท่านั้น และไม่เคยสนใจถึงความก้าวหน้าในการเรียนรู้เลย แต่อย่าลืมนะครับพี่เลี้ยงทั้งหลายท่านเป็นกำลังเป็นส่วนหนึ่งของการส่งคน 2,000,000 คนเข้าสู่สังคมการทำงาน ท่านจะส่งแบบไหนและอยากให้สังคมเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวท่านเองครับ





ระบบฝึกงานทรงพลัง

การฝึกงานคือการเรียนรู้ประสบการณ์ไม่ใช้การใช้แรงงานแต่อย่างใด ดังนั้นการเตรียมระบบฝึกงานให้มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ข้อผู้ฝึกงานได้เป็นอย่างดี เริ่มแรกสิ่งที่ต้องทำคือ ถามเหมือนกันครับ แต่ครั้งนี้ พี่เลี้ยงต้องโทรถามอาจารย์ที่ปรึกษาว่ามีความคาดหวังอย่างไรและนักศึกษามีพฤติกรรมอย่างไรขณะศึกษาอยู่ซึ่งช่วยได้มากในการกำหนดภาระงานให้กับนักศึกษา เมื่อพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาถึงความคาดหวังเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อมาคือ การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายสัปดาห์ เพื่อให้นักศึกษาสามารเตรียมความพร้อมและรู้ว่ายังต้องเรียนรู้อะไรต่อไปอีก หรือเรียนรู้ถึงไหนแล้ว การติดตามผลการเรียรู้ ควรจัดการพูดคุยกับนักศึกษาประมาณสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง แนะนำบ่ายวันศุกร์ หรือไม่ก็เช้าวันจันทร์ เพราะวันอื่นของสัปดาห์ท่านอาจมีงานล้นมือทำให้ไม่สามารถติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเป็นบ่ายวันศุกร์ท่านจะสามารถให้คำแนะนำหรือ FEEDBACK ได้จากการสังเกตุการทำงานในรายสัปดาห์นั้น ผมแนะนำการให้ FEEDBACK นักศึกษาเลยละกัน การให้ FEEDBACK หรือคำแนะนำนั้นง่ายครับ มีหลายทฤษฎีและวิธีการแต่ที่ผมอยากแนะนำให้ลองไปใช้ดูคือ AID MODEL เป็นตัวย่อมีคำแปรดังนี้ครับ

A = ACTION การกระทำ
I = IMPACT ผลกระทบ
D = DOING สิ่งที่ควรทำ

ดังนั้นสิ่งที่พี่เลี้ยงควรทำคือ สังเกตุนักศึกษาฝึกงานและจดการกระทำบางอย่างที่เราจะให้ FEEDBACK เพื่อที่จะได้ไม่ลืม เมื่อเราให้ FEEDBACK เราจะสามารถให้ได้โดยง่าย ตัวอย่างนะครับ ต้องบอกให้ได้ว่านักศึกษาฝึกงานทำอะไรต้องเห็นด้วยตาและเป็นเชิงประจักษ์คือเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเล่าจากปากคนอื่น เพราะถ้ายังไม่ได้มีการพิสูจน์ย่อมไม่ใช้เรื่องเชิงประจักน์ จากนั้นต้องบอกถึงผลกระทบของการกระทำนั้นๆ ว่ามีผลกระทบกับงานอย่างไร มีผลกระทบกับผู้อื่นอย่างไร มีผลกระทบกับตัวนักศึกษาอย่างไร และสุดท้าย DOING คือสิ่งที่ควรทำเพิ่มเติมว่ามีอะไรบ้างที่นักศึกษาฝึกงานควรทีเพิ่มเติมเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการฝึกของพี่เลี้ยงและตัวนักศึกษาฝึกงานได้ไปในตัวด้วยดีจริงๆครับเรื่องง่ายๆที่คนมักมองข้าม

ต่อมาคือการมอบหมายงานในเช้าวันจันทร์บางที่มอบหมายงานครั้งเดียวจบ กว่าจะรู้ตัวว่านักศึกษาไม่ได้อะไรกลับไปเลยก็เสียเวลาไปจนจะจบการฝึกงานเสียแล้ว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกครับ ดังนั้นการมอบหมายงานนั้นมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ หลักในการมอบหมายงานก็เหมือนกับหัวหน้าให้งานลูกน้องละครับ คือต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะต้องทำอะไร มีประโยชน์อย่างไร และควรทำออกมาให้หน้าตาแบบไหน อย่างพิจารณาถึงระดับของนักศึกษาฝึกงานนะครับ ไม่ใช่มองหมายโปรเจคใหญ่ เพราะระดับของนักศึกษาฝึกงานนั้นหมายถึงระดับความรับผิดชอบและวุฒิภาวะ เกี่ยวข้องกันทั้งสิน และเมื่อมอบหมายงานเสร็จแนะนำให้เขียนครับเป็นรายลักษณ์อักษรที่อ่านและเข้าใจได้ง่ายเขียนเสร็จสำเนาสองชุดพี่เลี้ยงเก็บไว้หนึ่งชุด นักศึกษาเก็บไว้หนึ่งชุด เพื่อที่จะได้เทียบเคียงว่างานที่ได้รับมอบหมายทำถึงไหนแล้ว มีปัญหาในการทำงานอะไรบ้าง และต้องการความช่วยเหลืออย่างไรต่อไป

การประเมินผลก็มีส่วนสำคัญ การประเมินผลตามความเป็นจริงกับการประเมินผลจากความสมควร เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันได้ยาก แต่อย่าลืมนะครับผลการประเมินนักศึกษาฝึกงานจะติดตัวนักศึกษาไปตลอดชีวิต ดังนั้นการประเมินผมอยากให้ดูพี่เลี้ยงเป็นหลักท่านมอบหมายงานแบบใด ท่านเป็นตัวอย่างแบบไหนและท่านทำตัวอย่างไร แต่ในบางกรณีที่นักศึกษาไม่ให้ความสนใจมากๆ ท่านก็ให้คะแนนตามความเป็นจริงได้เลยครับ แต่อย่างลืม FEEDBACK นะครับและไม่ใช่ความคิดเห็น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่พิสูจน์ได้นั้นเอง

เรื่องทั่วไป

พี่เลี่ยงต้องเลี่ยงข้าวนักศึกษาฝึกงานบ่อยแค่ไหน คำตอบคือแล้วแต่ท่านครับตามกำลังทรัพย์เลย แต่อย่าลืมนะครับนักศึกษาฝึกงานยังไม่มีเงินเดือนเป็นของตนเอง ถ้าอยากเลี้ยงข้าวแนะนำหาแบบประหยัดไม่ลำบากเราไม่ลำบากน้อย

น่ากลัวชู้สาว บอกเลยว่าเกิดขึ้นบ่อยไม่ว่าจะเป็นพี่เลี้ยงผู้ชายน้องผู้หญิง หรือน้องผู้ชายพี่ผู้หญิง เกิดขึ้นได้แต่อย่าลืมจรรยายบรร คิดเสมอครับพี่เลี้ยงประสบการณ์มากกว่าควรจะพึงกระทำตนให้เป็นแบบอย่างไม่ใช้กระทำตนให้เป็นปัญหาสังคม ทุกคนเป็นลูกมีพ่อมีแม่ครับ


น้องหยุดบ่อยปัญหาส่วนตัวเยอะ ธรรมดาโลกครับ ที่ควรทำคือใส่ใจรับฟังไม่ใช่ใส่อารมณ์ให้ระเบิด พระหากพี่ไม่ดูแลน้องแล้วน้องจะปรึกษาใคร ปรึกษาแล้วโดนด่าจะปรึกษาไปเพื่ออะไร จริงมนุษย์ทุกคนต้องการใครสักคนรับฟังเท่านั้นครับไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ฝึกที่จะฟัง เพื่อเป็นมนุษย์ที่ใจสูงส่ง ดีกว่าฝึกพูดเพื่อเป็นหมาที่เห่าดัง

สุดท้ายที่อยากฝาก

ถึงพี่เลี้ยงทุกท่าน อนาคตของชาติท่านสร้างได้ สร้างจากใจ สร้างจากความรัก แล้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องจะยาวนานเป็นทั้งประโยชน์กับตัวน้องและประโยชน์กับตัวพี่ เรียกว่าความสัมพันธ์อันดี และที่สำคัญอย่าลืมนะครับประวัติการสมัครงานของน้อง จะเขียนว่าฝึกงานที่ไหน ถ้าน้องตอบได้ว่าได้ประโยชน์อะไรและมีวิธีคิดอย่างไร เพราะได้จากการฝึกงานที่ไหน ภาพลักษณ์ของท่านก็จะดี แต่ถ้าน้องตอบไม่ได้ถามไม่ตอบ น่าสงสารนะครับ คิดถึงตัวท่านตอนสัมภาษณ์พนักงานใหม่ดูแล้วกันครับ