วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

inspiration master

Inspiration Master by Ping Lumpraploeng

(ภูพิงค์  พังสอาด)



Preface

วันนี้พี่ พิง ลำพระเพลิง (อายุ 50) มาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตว่าทำไมถึงมีความสุขแม้ชีวิตจะไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่ทุกคนคิด และก็ไม่เรียบง่ายจริงๆครับ แต่ถ้าเขียนถึงพี่พิง ธรรมดาๆดูจะไม่สมน้ำสมเนื้อ ดังนั้นผมขออนุญาตพี่พิง โดยไม่ต้องรออนุมัติ ขอเขียนถึงบทเรียนที่พี่พิงมาแบ่งปันในมุมมองของผู้นำ จากหัวข้อ Inspiration Master (ผู้เชียวชาญการสร้างแรงบันดาลใจ) กลายเป็น Happy for Leader (ผู้นำที่มีความสุข(มั้ง)) เอาเป็นว่าในมุมมองของผู้นำจะสร้างความสุขให้ตนเองและผู้คนรอบข้างได้อย่างไรนั้น ลองติดตามดูกันครับ

พี่พิง เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลาสองชั่วโมง ขึ้นมาเตรียมตัวก่อนหนึ่งชั่วโมง มีอุปกรณ์ของตนเองติดตัวมาด้วย (มีไมค์ส่วนตัวมาเองครับ) โคตรเตรียมความพร้อมเลย มาถึงตรวจสอบสถานที อุปกรณ์ เสียง แสง ภาพ ทุกอย่างเรียกว่าพร้อมมาก ถึงมากที่สุด เป็นความมืออาชีพสุดๆ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือไม่มีความถือตัวครับ เจอผมก็ยกมือสวัสดีผมซะงั้น (พี่พิงอายุ 50) พูดคุยกันเล็กๆ น้อยตามประสา ไม่เคยเจอคนที่มาบรรยายหรือวิทยากร สนิทสนมและเป็นกันเองขนาดนี้ บางคนนี้หน้ายังไม่อยากจะมองเราเลย แต่พี่พิงไม่ครับ อบอุ่นเป็นกันเอง สุภาพและหยาบคายอย่างลงตัว (น่ารัก)

แล้วทำไมผมถึงนึกถึงผู้นำขึ้นมา พี่พิง เริ่มขึ้นเวทีจากการเล่นละครใบ้ ตรงนี้ละครับที่ผมสะดุดความเป็นผู้นำ เพราะผู้ที่มีความเป็นผู้นำคือผู้ที่สามารถ Influence ผู้อื่นได้ ในการแสดงละครพี่พิงจะเชิญผู้ฟังบางท่านขึ้นมามีส่วนร่วมบนเวที ซึ้งไม่มีการเตี้ยมกันมาก่อนหน้าแต่อย่างใด เชื่อไม่ครับว่าแก่เล่นละครใบ้แต่คนที่ขึ้นมาร่วมบนเวทีสามารถทำตามที่แกต้องการได้ทุกคนและทุกอย่างที่แกต้องการ อย่างละมุนละม่อม ไม่ว่าจะเป็นการยื่นกล้วยให้ทาน ยื่นฝาคุ๊กกี้ให้แล้วนำมาตีหัวพี่พิงได้(อันนี้สุดยอด) พาเจ้านายผมขึ้นเวทีและร่วมเล่นอย่างสนุกตามบทที่แกมีแต่ไม่เคยบอกใคร คำถามที่ผุดขึ้นในหัวผมคือ ทำอย่างไรคนถึงจะทำตาม และทำตามอย่างที่ไม่ต้องสั่งออกมาเป็นคำพูดอย่างถูกต้องและตรงเวลา ตอนแรกคิดว่าก็เพราะเป็นพี่พิงมีชื่อเสียง คนถึงขึ้นมาร่วมด้วยก็ต้องทำตามอยู่แล้ว แต่ผมว่าไม่น่าใช้ครับ เพราะภาษากายที่แกส่งออกมานั้น สื่อสารได้อย่างทรงพลังมากๆ ถึงขึ้นที่บางครั้งแค่หยุดอยู่เฉยๆ ก็สามารถบังคับให้คนฟังตบมือได้อย่างกึ่งก้อง ดังนั้นนี้ละครับบทเรียนสำหรับภาวะผู้นำ

ทำอะไรก็ตามให้ทำอย่างชำนาญหมายความว่าฝึกฝนอยู่เป็นนิจไม่ท้อทอย ไม่ขี้เกียจฝึกซ้อม อยู่กับสิ่งที่เป็นเรารักในสิ่งที่เราทำ เราก็จะมีความสุขและชำนาญเป็นมืออาชีพแบบไม่รู้ตัว ส่วนบทเรียนที่พี่พิงนำมาแบ่งปันสร้างความสุขให้แก่กันในวันนี้มีดังต่อไปนี้ครับ

เริ่มจากสิ่งเล็กๆ 

พี่พิงมีผลงานชิ้นแรกที่ภาคภูมิใจคือ หนังสือเรื่อง "แกงไก่ล้างโลก" ฟังแล้วก็.... น่าอ่านครับ แค่ฟังชื่อก็ขนลุกอยากออกไปซื้อมาหาอ่านแล้วครับ พี่พิงได้แรงบันดาลใจมาจากวันที่ ฝนตกหนักแล้วแกอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหนแต่หิวข้าวอยากกินแกงไก่ ก็เลยคิดว่าถ้าฝนที่ตกลงมาเป็นแกงไก่ จะดีขนาดไหนข้าวก็มีอยู่ในบ้านไม่ต้องออกไปซื้อหา แกก็เลยลงมือเขียนลงไดอารี่ เล่มเล็กๆด้วยลายมือแกเอง แต่แกก็ไม่ได้คิดอะไรใหญ่โต แค่อยากเขียนจึงเขียน ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นหนังสือเล่มใหญ่ แต่แค่อยากเขียนก็เขียน (เหมือนผมในขณะนี้เลยครับ) จากนั้นก็แกก็ลองนำผลงานไปนำเสนอ แกเล่าว่า บก. อ่านแล้วก็หยิบไปกองไว้กับเอกสารเตรียมทำลาย(อันนี้เศร้า) แต่โชคดี มีคนหยิบไปอ่านแล้วชอบเลยเรียกพี่พิงไปคุยมาไม่ต้องเขียนมาลงนิตยาสาร ไปเขียนมาเพิ่มอีกแล้วรวมเล่มขายไปเลย หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนพี่พิงก็กลับมาวางต้นฉบับตรงหน้า บก. ถึงกับถามว่าทำไมเร็วจังแค่หนึ่งเดือนเอง พี่พิงตอบว่า กลัวพี่ บก. จะตายก่อนเลยรีบสุดชีวิต จากนั้นก็ได้ร่วมเล่มขาย และขายดีด้วย

บทเรียนผู้นำ จะทำอะไรก็ลงมือทำเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไม่สำคัญอยู่ที่ว่า เราได้ลงมือทำหรือไม่ ถ้าต้องมานั่งรอให้มีความพร้อมก่อนงานเล็กๆไม่รอแต่งานใหญ่ๆ หรือรอให้มีความพร้อมก่อนนั้นอาจจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว คนเราเกิดมาก็ไม่ได้มีชีวิตยาวนานจะมั่วมานั่งรอความตายอยู่ใย ใยไม่ลงมือทำให้รู้แล้วรู้รอดไป ทำแล้วไม่เวิร์คก็ทำใหม่ จะเริ่มใหม่กี่ครั้งไม่มีใครว่า แต่ไม่ยอมเริ่มเสียทีก็ไม่ต้องให้ใครมาว่าหรอกครับ รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว

ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่ใหน ผู้นำก็ควรที่จะลงมือทำ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้ตาม หากผู้นำไม่ทำแล้วใครจะกล้าทำละครับ หากผู้นำไม่เริ่มแล้วใครหน้าไหนจะกล้าเริ่มกัน และที่สำคัญทำจากสิ่งที่เล็กๆก่อนแล้วสิ่งใหญ่ๆที่คุ้มค่าจะตามมาเองครับ

อยู่ที่มุมมอง

เรื่องนี้มีอยู่ว่า หลังจากที่หนังสือเรื่อง "แกงไก่ล้างโลก" ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า พี่พิงแกเลยออกมาเปิดสำนักพิมพ์เองครับ สำนักพิมพ์ชื่อ "สำนักพิมพ์พิลาไลย" แต่ปรากฎว่า เจ๊ง ไม่เป็นท่าเป็นหนีหลายแสน แกก็บินครับ บินไปล้างจานอยู่ที่อเมริกา ถึงสองปีเพื่อเก็บเงินใช้หนี จากนั้นก็บินกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับบทนักแสดงประกอบฉาก แต่ด้วยความที่เป็นคนมีใจรักและมีคนเห็นคุณค่า ทำให้พี่พิงได้กลับมาเป็นผู้เขียนบทละครอีกครั้งหนึ่งและประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

พี่พิงแกเล่าว่าคนส่วนใหญ่คิดว่าแกลำบากสู้ชีวิต เหน็ดเหนื่อยไปล้างจานถึงต่างประเทศ เพื่อเก็บเงินใช้หนี้ ถึงขั้นขายบ้านขายรถเพื่อออกเดินทางถึงขึ้นที่ว่าไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว แต่ความเป็นจริงที่แกเล่าคือก็ไม่ได้ลำบากอะไร เวลาเดินทางก็ขึ้นเครื่องบินไปสบายจะตาย ใช่ว่านั่งใต้ท้องเรือสำเภาไปซะที่ไหน อยู่ทำงานล้างจานก็ทำงานแค่สองช่วงเวลาคือช่วงเที่ยง และช่วงเย็น อาหารการกินก็ดีมีพร้อมมีภรรยาเป็นแม่ครัว อาหารก็ไม่ขาดปาก เรียกว่าอยู่สบายๆเลยนี้ละครับ

บทเรียนผู้นำ มุมมองที่เรามองตนเองนั้นสำคัญ บางทีมีคนมองจากภายนอกดูเราจะยากลำบากแต่เราต่างหากที่เป็นผู้รู้จริงว่าจะเลือกมองว่าปัญหาคือความลำบาก แต่หากเราสามารถเปลี่ยนมุมมองได้นั้นถึงเราจะต้องทำงานที่ลำบากยากเย็นขนาดไหน แต่เราก็จะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่เป็นและสิ่งที่อยู่กับเราทุกเวลานั้นเอง รวมไปถึงการคิดบวก ลองคิดดูว่าถ้าท่านทำงาน สิบชั่วโมงต่อวัน หกวันต่อสัปดาห์ ออกจากบ้านตีห้า ถึงบ้านห้าทุ่ม แล้วไม่พอเรายังมีความคิดลบๆ โทษโน้นโทษนี้ทั่วไปหมด ไม่มีอะไรหรือใครที่ดีเท่ากับตนเองเลย แล้วเราจะทนอยู่ความคิดลบอยู่ทำไมละครับ ถ้าเราเปลี่ยนไปมองมุมบวกบ้างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องที่อยากรู้และมีความชำญ คำถามคือร่างกายเหนื่อยเหมือนเดิมแต่ทำไมเราต้องยอมให้จิตใจต้องเหนื่อยตามไปด้วย เพราะจิตใจเกิดขึ้นได้จากความคิด ไม่ต้องลงทุนลงแรง สมองก็คิดอยู่แล้ววันละกว่า 60,000 ความคิด ก็แค่ลองคิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นโฟกัสแต่สิ่งที่ดีที่เราเรียนรู้ได้จากสถานการณ์นั้น คนๆนั้น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่รอบตัวเรานั้นเอง

ไม่ทำแล้วจะเสียใจ

ปกติผู้เขียนบทภาพยนต์จะได้รับค่าจ้างอยู่ที่ประมาณเรื่องละ 1,000,000 บาทและเปอร์เซ็นจากกำไร ประมาณ 2,000,000 บาท รวมแล้วก็ประมาณ 3,000,000 กว่าบาท แต่มีภาพยนต์อยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนบทภาพยนต์ขอแสดงเองกำกับเอง และยื่นข้อเสนอกับนายทุนว่าตนเองจะไม่รับค้าจ้างแม้แต่บาทเดียวเพื่อให้นายทุน ยอมเปิดกองถ่ายให้ ภาพยนต์เรื่องนี้ชื่อ "ฝันโคตรโคตร" เขียนบทโดยพิง เล่นบทนำโดยพิง กำกับโดยพิง พี่พิงเล่าว่าอยากเล่นบทนี้มากมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ได้เล่นจะเสียใจมากๆ แกบอกว่าถ้าเอาแค่เขียนบทก็ได้อยู่แล้ว 3,000,000 กว่าบาทแต่แกยอมที่จะยื่นข้อเสนอไม่รับเงินเพื่อแสดงเองและกำกับเอง แกกลัวว่าถ้าไม่ลงมือทำเองแล้วอนาคตจะมานั่งเสียใจและคงจะนึกถึงอยู่แต่อดีตว่าถ้าเราได้ทำ เราจะเป็นอย่างไรรู้สึกอย่างไร ทำให้แกกล้าที่จะยื่นข้อเสนอที่จะไม่รับเงินจากนายทุน เพื่อที่จะได้เขียนบทเอง แสดงเอง และกำกับเอง ตามที่ใจปราถนา และออกมาดีมากๆด้วยครับ

บทเรียนผู้นำ บางครั้งการตัดสินใจก็ต้องใช้ความรวดเร็วสมเหตุสมผล แต่ในขณะหนึ่งนั้นความสมเหตุสมผล ความถูกต้อง อาจจะไม่เวิร์คก็ได้ครับ เพราะเราย่อมรู้ตัวของเราอยู่แล้ว จะทิ้งความสุขไปใย เงินทองข้างหน้าก็หาได้แต่เหตุการในอดีตไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นผู้นำครับถ้าท่านต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ท่านคิดว่าทำแล้วจะรู้สึกดีกับส่งนั้นในอนาคต ท่านทำเถอะครับ ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ทำให้ใครเดือนร้อน และต้องลงมือทำด้วยความมุ่งมันทุ่มเทออกมาจากหัวใจอย่างไม่ย้อท้อด้วยนะครับ

Infer

โดยสรุปแล้ว จะทำอะไรก็ลงมือทำซะ ทำด้วยทัศนคติดีๆ และลงมือทำด้วยความรักชนิดที่จะไม่รู้สึกเสียดายที่หลัง ทุกคนมีทางเลือกครับ อยู่ที่เราว่าจะเลือกทางเดินที่ดีมีประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม ประเทศชาติ รวมถึงโลกทั้งใบ นั้นก็อยู่ที่เราเลือกจะสนใจและใส่ใจให้มากขึ้น หรือจะย้ำอยู่กับที่และคอยได้แต่บ่นถึงอดีตว่าน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ อยู่แต่กับความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น หล่าวผู้นำทั้งหลายครับ อยู่ที่ตัวท่านเลือกแล้วครับ

สิทธินันท์ มลิทอง
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกชีวิตก้าวเดินอย่างมีความสุขครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

LEADERCHIEF ON STAGE



สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Leader Chief on Stage
19 March 2016
19.00 - 22.00
Aksra Theatre King Power

ประสบการณ์ที่แปลกใหม่

ครั้งแรกที่ทราบข่าวว่า อาจารย์ อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา จัด  TALK SHOW ตอบตรงๆว่ารู้สึกเฉยๆครับ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเพราะไม่รู้จักอาจารย์ อภิวุฒิ มาก่อนเลยแต่ที่สนใจนำเงินโบนัสไปซื้อบัตรเข้าชม เพราะ มีคำว่า SLINGSHOT และ SLINGSHOT GROUP มี ดร. ธัญ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นวิทยากร อยู่เลยตัดสินใจไม่ยากว่าต้องดีและคุ้มค่าราคาแน่ๆ แต่พอได้ศึกษาเกี่ยวกับอาจารย์ อภิวุฒิ เพิ่มเติมแล้วก็เกิดชอบขึ้นมาจับใจ เพราะอาจารย์ อภิวุฒิ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ภาวะผู้นำ ของประเทศไทยเลยที่เดียว และก่อนวันที่ 19 มีนาคม 2559 ได้มีโอกาสที่ถือว่าโชคดีมากๆ ในการฟังอาจารย์ อภิวุฒิ บรรยายในชั้นเรียน SITUATIONAL LEADERSHIP (ควบคุมเครื่องเสียง) ประทับใจมากครับได้ข้อคิดเยอะมาก และนำมาใช้หลายๆอย่างถือว่าไม่ผิดจากที่อาจารย์บรรยายไว้เลย จากนั้นก็ได้แต่นับวันรอที่จะได้เข้าร่วมงาน TALK SHOW LEADER CHIEF ON STAGE

WHAT IS LEADERSHIP

"ผู้นำ" กับ "ภาวะผู้นำ" สองคำที่มีความเหมือนแต่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ผู้นำจำเป็นต้องมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำบางคนกลับไม่มีภาวะผู้นำ บางคนไม่มีตำแหน่งเป็นผู้นำแต่กลับมีภาวะผู้นำ และจะดีที่สุดถ้าทุกคนในองค์กรมีภาวะผู้นำ และภาวะผู้นำคืออะไรกันแน่

อาจารย์อภิวุฒิ นำเข้าเรื่องได้ดีมากเริ่มจากการหาข้อมูลของนิยาม ภาวะผู้นำใน GOOGLE พบข้อมูลในการค้นหากว่า 310,000,000 ความหมาย (LEADERSHIP DEFINITION) แต่หากพูดให้ชัดๆ ก็คือภาวะผู้นำคือ ความสามารถในการมีอิทธิพลกับผู้อื่น ลองไปเดินดูตามบ้านบอลที่เด็กๆเล่นตามห้างได้ครับ ถ้าท่านนั่งดูประมาณ 10 นาที ท่านจะสังเกตุเห็นเด็กบางคนมีอิทธิพลในการเล่นร่วมกับเด็กๆคนอื่น ดังนั้นภาวะผู้นำอาจจะติดตัวเรามาหรือเราอาจจะสามารถสร้างขึ้นก็ได้

12  ข้อคิดสำหรับผู้นำ

เห็นปัญหาเป็นยาชูกำลัง

แน่นอนว่าไม่มีใครไม่เคยเจอปัญหา แต่ปัญหาที่แต่ละคนพบเจอย่อมมีการรับมือหรือหาทางออกของปัญหาแตกต่างกันไป บางคนเลือกที่แก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดิมขึ้นอีก แต่บางคนเลือกที่จะจมอยู่กับปัญหา ผู้นำที่มีภาวะผู้นำต้องสามารถมองปัญหาเป็นเสมือนยาชูกำลัง เพื่อหาทางออกที่ดีกว่า อาจารย์ยกตัวอย่างจากการขายตุ๊กตาหมีให้กับบริษัทขายไอศครีม จำนวน 200,000 ตัว ต้นทุน 25 บาท แต่บริษัทแห่งนั้นจะรับซื้อด้วยราคา 20 บาทเท่านั้น เป็นธรรมดาถ้าเราได้ข้อตกลงที่ขาดทุนเราก็อาจจะยกเลิกสัญญานี้ได้ แต่ผู้นำย่อมมองหาทางออก ยอมรับในราคาที่ขาดทุนแต่เสนอว่า หลังจากขายตัวที่ 200,001 ไปแล้วขอแบ่งกำไรจากการขายตุ๊กตาคนละครึ่ง เมื่อได้ข้อเสนอผู้นำต้องไม่หยุดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายอาจารย์เข้าไปศึกษาพฤติกรรมลูกค้าและหาวิธีการนำเสนอที่ทำให้สามารถขายตุ๊กตาหมีทำให้ขายได้ถึง 800,000 ตัวเลยที่เดียว ราคาทุน 25 ส่งร้าน 20 ราคาขาย 39 กำไร 19 คนละครึ่งก็ 9.5 เท่ากับได้กำไร 7,600,000 บาท นี้ละครับการแก้ปัญหาและการส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จโดยไม่หยุดหย่อนของผู้ที่มีภาวะผู้นำ ย่อมนำมาซึ้งความสำเร็จอย่างแน่นอน

หาพี่เลี้ยงมาเคียงข้าง 

ไม่มีใครเกิดมาเป็นยอดคนทุกคนต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้สร้างประสบการณ์พบเจอสถานการณ์ ทุกสิ่งที่ผ่านมาจะหลอมเราให้เป็นผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงนั้นเอง บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย ตระหนักถึงการเรียนรู้ของพนักงานใหม่เป็นอย่างดี จึงจัดให้มีระบบพี่เลี้ยง หมายความว่า "พี่เลี้ยงจะสอนทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน" ย้ำนะครับทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน นั้นหมายถึง เรื่องทั่วไป การใช้ชีวิต การปรับตัว ตัวอย่างที่อาจารย์อภิวุฒิ ยกมาทำให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นคือ พนักงานที่ทำงานด้านวิศวะ พนักงานใหม่ต้องยกมือไหว้และเรียกว่านายช่าง ถึงจะเป็นพนักงานผู้หญิงก็ต้องเรียกว่า นายช่าง เช่นเดียวกัน หรืออีกตัวอย่างคือ การเดินทางมาทำงานด้วยรถไฟ แต่ไม่ต้องลงสถานีเพราะจะเดินเข้าบริษัทไกลมาก ให้รถไฟออกตัวจากสถานีก่อนพอรถไฟเร่งเครื่องให้เราโดดออกมา ก็จะถึงหน้าบริษัทพอดี นั้นละครับเรื่องที่พี่เลี้ยงต้องสอน และต้องคอบให้กำลังใจกับพนักงานใหม่เวลาเจอปัญหา เป็นที่ระบาย ระบบพี่เลี้ยงถ้าจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคัดพี่เลี้ยงที่ดี พี่เลี้ยงที่ดีมีอยู่แค่ข้อเดียวคือพี่เลี้ยงที่มีทัศนคติดิ ไม่ใช่เอาใครมาเป็นพี่เลี้ยงก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีทัศนคติดีมองโลกในมุมมองด้านบวก เพราะทัศนคติสามารถแพร่พันธ์ุได้ หากเอาพี่เลี้ยงที่ทัศนคติแย่มา พนักงานใหม่ก็จะซึมซับทัศนคติแย่ๆ มาด้วย แต่ถ้าได้พี่เลี้ยงที่มีทัศนคติดีๆ น้องใหม่ก็จะได้ทัศนคติดีๆ ติดมาด้วย ดังนั้นคำถามคือหากคุณคือเจ้าขององค์กร คุณอยากให้พนักงานใหม่มีทัศนคติแบบไหน ดีหรือแย่ครับ

สำหรับผู้ที่อยากมีภาวะผู้นำก็เช่นกันควรที่จะหาพี่เลี้ยงหรือเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัวเราให้ดี ก็จะส่งเสริมทัศนคติ การมองโลก การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ออกมาดีได้เช่นกันครับ เพราะผู้นำสร้างได้นั้นเอง

เรียนรู้จากคนที่ไม่ชอบ 

หากท่านเคยมีหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานที่จุกจิกจู้จี้น่ารำคาญแล้วละก็จงดีใจไว้ครับ นั้นละครับคือผู้ที่ท่านจะได้เรียนรู้มากที่สุด อาจารย์อภิวุฒิ ยกตัวอย่างจากหัวหน้างานของท่านที่ละเอียดมากในการทำงานไม่ว่าจะเป็นรายงาน การจัดรายงานการประชุม กรณีหนึงที่น่าจดจำคือการใช้ปากกาไฮไลหลายสี ในการจัดทำเอกสารการประชุม อาจารย์มีข้อสงสัยว่าทำไมต้องใช้ปากกาหลายสีเลยไปถามหัวหน้า หัวหน้าตอบว่า "คุณก็คิดสิ" จบครับ คิดให้ตายก็คิดไม่ออก จนต้องไปถามหัวหน้าอีกครั้งแล้วได้คำตอบว่า การใช้ปากกาหลายสีหมายถึง สีที่หนึ่ง คือเรื่องที่เรียนเพื่อทราบ สีที่สอง คือเรื่องที่ต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว สีที่สามคือเรื่องที่ต้องได้รับการอนุมัติ แม่จ้าว นั้นละครับคือสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากคนที่เราไม่ชอบ หากผู้นำไม่กล้าที่จะเปิดรับจากคนที่เราไม่ชอบก็ยากที่จะเรียนรู้และมีภาวะผู้นำนั้นเอง

เชื่อในความเป็นไปได้

เมื่อเป้าหมายดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ มีแต่ผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงเท่านั้นที่ยังคงความเชื่ออย่างสุดใจว่าเป็นไปได้ กรณีศึกษา ครอบครัวทำรองเท้ามีพ่อและลูกชายสองคน พ่อส่งลูกชายคนโตไปอินเดียเพื่อบุกเบิกตลาดรองเท้า ลูกชายกลับมารายงานว่าที่อินเดียไม่มีใครใส่รองเท้าเลยเราไม่สามารถขายรองเท้าที่นี้ได้แน่นอน พ่อก็ส่งลูกชายคนเล็กไปอินเดียเช่นกัน ลูกชายคนเล็กกลับมารายงานว่ามีคนไม่ใส่รองเท้าเยอะแยะไปหมด รองเท้าของเราต้องขายดีแน่ๆ และก็เป็นดังว่าธุรกิจขายรองเท้าในินเดียเติบโตอย่างงาม (ลูกชายคนเล็กชื่อ โธมัส บาจา) ผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงย่อมมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองว่าเป็นไปไม่ได้ นั้นคือความแตกต่างของคนธรรมดาและผู้นำนั้นเอง

เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตตนเอง

มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ นั้นคือข้อเท็จจริง ตัวของเราเราเป็นคนกำหนดว่าเราจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่มีใครมาบังคับใครได้ มีแต่เราที่ยอมอ่อนข้อกับข้อกำหนดของตนเอง กรณีตัวอย่างคนขับรถของอาจารย์ทั้งสองท่าน ท่านแรกทำกิจกรรมล้มเหลวและมาเป็นคนขับรถให้อาจารย์อภิวุฒิและเลือกที่จะเรียนรู้ เรียกว่าอยู่กับครูดีมีชัยไปกว่าครึ่งแต่ในทางกลับกันหากพี่คนขับรถท่านนั้นเลือกที่จะเชื่อว่าตนเองเป็นแค่คนขับรถและอยู่แค่ตรงนั้นไม่เลือกที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะพบเจอแต่ทางตัน แต่พี่คนขับเลือกที่จะเรียนรู้สุดท้ายพี่คนขับรถก็ประสบความสำเร็จ เป็นนักพูดให้กำลังใจคนที่ทำงานแบบเดียวกันในบริษัทอื่น เป็นเจ้าของกิจการเลี้ยงไก่ชน ทำอาหารส่งโรงเรียน และอื่นๆอีกมากมาย ท่านที่สองเป็นคนมาเลเซีย พูดไทยได้ไม่ชัดแต่ก็เลือกที่จะเรียนรู้การทำงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟ คุมเวที เตรียมเอกสาร ไม่ได้มีมูลค่าแค่คนขับรถเท่านั้น จนปัจจุบันมีอาจารย์อภิวุฒิเป็นโค้ช ให้กับธุรกิจให้เช้าที่พักมีรายได้งามตามไปด้วย 

ข้อคิดสำหรับผู้นำหากเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้สำเร็จ ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดูสิครับ ตอนเด็กอาจารย์เรียนในโรงเรียนหนึ่งไม่เก่ง เลยย้ายโรงเรียนไปหาโรงเรียนที่มีเพื่อนที่ดีกว่า ทำให้ได้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเติบโตเป็นผู้นำที่มากประสบการณ์ เสมือนการปลูกต้นไม้ อยากให้ต้นไม่เติบโตต้องรู้จักดินที่ดี ให้น้ำที่เหมาะสม แสงแดดพอประมาณ ต้นไม่ก็จะเติบโตได้ดีตามไปด้วย นั้นละครับคือสภาพแวดล้อมดี ช่วยผู้นำได้

ซื้อใจก่อนใช้งาน

อยากให้เด็กๆ อ่านหนังสือทำอย่างไรครับ หาสิ่งจูงใจ มีโรเรียนหนึ่งที่อาจารย์อภิวุฒิ ยกตัวอย่างการจูงใจเด็กนักเรียน ให้อ่านหนังสือโดยกำหนดว่า หากอ่านหนังสือจบตามจำนวนที่กำหนดจะมีของรางวัลให้ เช่น หากอ่านหนังสือได้สามสิบเล่ม จะได้รับรางวัล คำถามต่อมาคืออะไรละคือรางวัลให้เด็กอยากอ่านหนังสือ ลองคิดครับ หนึ่ง สอง สาม คำตอบคือ บัตรไม่ต้องทำการบ้าน และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดเมื่อเด็กทุกคนแข่งกันอ่านหนังสือเพื่อชิงบัตรไม่ต้องทำการบ้าน สำหรับครูแล้วบัตรไม่ต้องทำการบ้านไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไร แต่สำหรับเด็กแล้วละครับโครตมีมูลค่าเลย การไม่ต้องทำการบ้านและการมีอำนาจเหนือคุณครูนั้นละครับคือการจูงใจขั้นสุดยอด ผู้นำที่รู้จักจูงใจผู้อื่นคือสุดยอดผู้นำ

อีกกรณีศึกษา เซลล์ขายของได้รับมอบเป้าหมาย 10 ล้านบาทต่อเดือน เซลล์ท่านนั้นสามารถปิดยอดได้ภายใน 15 วันเวลาที่เหลือหนีไปตกปลา หัวหน้างานรู้เข้าก็เพิ่มยอดขายให้ ทำให้เวลาในการตกปลาน้อยลงและน้อยลงเรื่อย จนสุดท้ายเซลล์ที่ทำผลงานได้ดีมาโดยตลอดก็ตัดสินใจลาออกไป นี้ละครับผลของการไม่รู้จักการจูงใจคนให้เหมาะสม แทนที่จะได้ผลงานที่มากขึ้นกลับศูนย์เสียบุคลากรที่มีความสามารถไปอย่างไม่มีวันกลับมาได้

ใช้จุดแข็งสร้างความสำเร็จ

บริษัทแห่งหนึ่งหาทางจัดการกับพนักงาน กลุ่ม DEADWOOD จำนวน 100 กว่าคน โดยจัดตั้งศูนย์อพยพขึ้นใกล้กับโต๊ะทำงานเจ้าของกิจการ จัดตั้งหัวหน้าโดยมีคำสั่งว่า ห้ามพวกนี้ว่าง หรือ ทำให้ยุ่งที่สุดนั้นเอง แล้วทำอย่างไรละครับ หัวหน้าหัวใส เรียกเอกสารที่ต้องทำลายเข้ามาที่ศูนย์อพยพทั้งหมด เพิ่มกระบวนการใช้ปากกาขีดก่อนทำลายโดยใช้ปากกาสองสีขีดและต้องขีดเป็นกากบาก ยังไม่พอครับ ก่อนทำลายให้ตัดกระดาษออกเป็นสองส่วน DEADWOOD ทั้ง 100 ยุ่งกันทั้งวันอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้นบริษัทแห่งนี้จัดการแข่งขันหมากล้อม แล้วไปพบเซียนดูลายนิ้วมือเพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง เจ้าของไม่รอที ปิ้งไอเดียร์สุดบรรเจิด ให้เซียนลายมือมาดูลายมือเหล่า DEADWOOD ทั้ง 100 แล้ววิเคราะห์จุดแข็งออกมา เมื่อได้จุดแข็งของ DEADWOOD ทั้ง 100 แล้วก็จัดส่ง DEADWOOD ผู้น่าส่งสารไปยังตำแหน่งงานที่เหมาะกับจุดแข็งนั้นๆ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นคือ DEADWOOD 100 คนกลายเป็น STAR ถึง 20 คน และ 60 คน กลายเป็นพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานปกติเหมือนชาวบ้านเขา แต่ก็ยังเหลืออีก 20 คนที่ยังคงเป็น DEADWOOD ต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ข้อดีของการใช้จุดแข็งทำให้ DEADWOOD กลายเป็น STAR ได้ แต่จะดีกว่าไมถ้าใช้จุดแข็งตั้งแต่ก่อนจะไม่เป็น DEADWOOD ไม่ต้องศูนย์เสียค่าใช้จ่ายในการดูแล ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกมหาศาล

TIGERWOODS นักกอร์ฟคนเก่งของโลกตอนฝึกซ้อมสมัยยังเอ๊ะๆ มีปัญหาเรื่องการตีลูกขึ้นจากหลุมทรายต้องเสียเวลาฝึกตีลูกออกจากหลุมวันละหลายชั่วโมง จนมีโปรกอร์ฟมาเห็นเข้า ให้คำแนะนำว่า จะซ้อมตีลูกขึ้นจากหลุมทรายทำไมกัน ทำไมไม่ฝึกตีลูกไม่ให้ลงหลุมทรายละ หลังจากนั้นการฝึกซ้อมก็เปลี่ยนไป ไปฝึกตีลูกแรกให้แรงและไกลจนไม่ตกหลุมทรายก็พอ ทำให้ TIGERWOODS สามารถตีลูกได้ไกลถึง 400 หลา (ผมไม่ได้เล่นกอร์ฟ แต่คิดว่าน่าจะไกลพอสมควร) นั้นละครับ จะซ้อมจุดอ่อนไปทำไมกัน ทำไมไม่ซ้อมจุดแข็งให้ดียิ่งขึ้นกันละคับ 

บทเรียนสำหรับผู้นำ อยากได้ผลงานดีต้องรู้จักใช้จุดแข็งของแต่ละคนในทีม และก็ต้องรู้จักจุดแข็งของตนเองด้วยนั้นละประเสริฐนักแล

กล้าคิดต่าง

แอนตี้ สาวบ้านนอกหน้าตาเป็นอาวุธ วันหนึ่งเกิดเหตุการสะเทือนขวัญมีคนร้ายมุ่งหวังจะข่มขืนเธอ และเธอก็ต้องเจอกับฝันร้าย เพราะแค่คนร้ายเห็นหน้าเธอเท่านั้น คนร้ายถึงกับผลักเธอออกมาด้วยความกลัวและตะโกนออกมาว่า "เฮ้ย กระเทยนี่หว่า" คนร้ายได้ทรัพยน์สินไป แต่เธอได้การเปลี่ยนแปลง เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ใครตั้งฉายาให้เธอว่า "หน้าตาเป็นอาวุธ" หลังจาก COMMIT กับตัวเองแล้วเธอก็เปลี่ยนไป จากผีร้ายกลายเป็นนางฟ้า และวันนี้เธอก็เเดินไปไหนมาไหนด้วยความมั่นใจในความสวยงานที่ชายหนุ่มต้องหันมามอง

"ขา ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญสมองกับหัวใจต่างหากที่สำคัญ" น้องธัญ ผู้ประสบชะตาชีวิตโดนรถไฟวิ่งเหยียบขาที่ประเทศสิงค์โปกล่าว อาจารย์อภิวุฒิถามต่อ "น้องธัญมีวิธีคิดอย่างไรครับ" ผมสรุปใจความสำคัญออกมาได้ว่า ถึงเราจะไม่มีขาเหมือนคนอื่นแต่เรายังมีแขนไว้เดินได้ สิ่งที่ต้องมีคือใจกับสมองต่างหากที่จะช่วยเราให้ประสบความสำเร็จ ช็อตนั้นบอกตรงๆครับ ผมขนลุก น้ำตาไหล เหมือนบรรลุธรรม จากประสบการณ์ของน้องธัญหญิงแกร่งแห่งสยามประเทศ 

DISNEY LAND ดินแดนแห่งความฝัน มีขนาดเท่ากับสนามหลวงต่อกันประมาณหนึ่งพันสนาม มีปัญหาที่จอดรถมากเพราะคนมาเที่ยวต่อวันเป็นแสนๆคน คาดว่าน่าจะมีที่จอดรถมากกว่า 50,000 ทีเลยที่เดียว ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นคือลูกค้าจำที่จอดรถตัวเองไม่ได้เพราะแค่ที่จอดรถก็น่าจะใช้สนามหลวงต่อกันประมาณ 10 สนามแล้วใหญ่มากครับ แล้ว DISNEYLAND แก้ปัญหาอย่างไรนะหรือครับ ต้องเล่าต่ออย่างนี้ครับ เมื่อ DISNEYLAND รับพนักงานใหม่เข้ามาทำงานจะปล่อยให้ไปเที่ยว DISNEYLAND หนึ่งวันเพื่อให้รู้สึกถึงความรู้สึกของลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วให้เสนอ ไอเดียมาหนึ่งไอเดีย ปรากฎว่าปัญหาเรื่องลูกค้าลืมที่จอดรถแก้ไขได้โดยง่าย วิธีการคือ เปิดที่จอดรถตามช่วงเวลาไม่เปิดทั้งหมดแล้วให้ลูกค้าเลือกหาที่จอดเองแต่เปิดที่ละ ZONE แบ่งเป็นชั่วโมงๆ ถ้าลูกค้าลืมที่จอดรถคราวนี้ง่ายแล้วครับ แค่ถามว่าลูกค้าเข้ามาใช้บริการกี่โมงก็ระบุ ZONE ที่จอดรถได้แล้วเดินหาเป็นแถวง่ายๆกว่าเยอะ ลูกค้าจำเวลาไม่ได้ ก็ถามแค่ว่ามาเช้าหรือบ่าย ถ้ามาเช้าก็ถามต่อนิดหน่อยเช้าตรูหรือสายๆ แค่นั้นก็พอจะช่วยหารถลูกค้าได้เร็วขึ้นเป็นกองแล้วครับ

บทเรียนผู้นำ ปัญหาอุปสรรคที่เข้ามา แต่ละคนมีวิธีการรับมือ วิธีคิดที่แตกต่างกัน มีแต่ผู้นำเท่านั้นที่มีวิธีคิดที่แตกต่างพร้อมจะก้าวเดินข้ามปัญหาที่เข้ามา ไม่จมอยู่กับความโศรกเศร้าที่รุมเร้าแต่เปลี่ยนเป็นพลังแห่งการใช้ชีวิตที่ยั่งยื่น

ทำเป็นตัวอย่าง

ผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาสั่งแต่พึงกระทำตนให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้ตาม ลูกน้อง และคนใกล้ตัว ถ้าลูกน้อยของท่านกลัวผี ไม่กล้าเดินไปปิดไฟที่ชั้น 2 บนบ้าน ท่านจะทำเช่นไรครับ คิด คิด คิด น่าลองครับ บางที่เราอาจเดินไปกับลูกน้อยของเราเพื่อพาไปปิดไฟ หรืออาจจะยืนให้ลูกเห็นเพื่อสร้างความกล้าที่จะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่จะส่งเสริมให้คนทำได้คือความปราถนาที่จะทำ คนที่ทำไม่ได้แต่มีความอยากที่จะทำวันหนึ่งจะทำได้ แต่คนที่ทำไม่ได้และไม่อยากทำแน่นอนว่าไม่มีวันทำได้ สิ่งหนึ่งที่ผู้นำที่มีภาวะผู้นำสูงทำได้คือ ทำเป็นตัวอย่างให้ดูว่า สิ่งที่ทำ สิ่งผลกระทบอย่างไร และควรทำเช่นไร เพื่อผู้ตามจะทำได้และเกิดแรงบันดาลใจเพื่อที่วันหนึ่งจะทำได้ด้วยตนเอง 

สื่อสารเป็น เล่าเรื่องเก่ง 

อริสโตเติล ยอดนักปราชญ์ อาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราชผู้ครองโลกในอดีต กล่าวว่าการเล่าเรื่องที่ทรงประสิทธิภาพมี 4 อย่างที่ต้องมีคือ ระทม(SUFFERING) รันทด(STRUGGLING) ระทึก(TURNING) รอดจากทุกข์(OVERCOMING) มี 4 อย่างนี้คนติดงอมแงมครับ ดูอย่างเรื่อง บ้านทรายทอง นำกลับมาทำซ้ำกี่รอบครับ ตอบไม่ถูกละซิ เยอะมากขอบอก เรื่องเล่าจากเรื่องเศร้าระทม ไม่พอมีความรันทดเข้ามาเป็นคนใช้ มีเรื่องบาดเสียวระทึกกับหญิงใหญ่หญิงเล็ก จากนั้นจบอย่างมีความสุขรอดจากทุกข์นั้นเอง คนดูเป็นไงครับติดสิครับ 

แล้วเราจะเอาเรื่องอย่างนี้มาจากไหนครับ เยอะแยะไปหมดครับ จาก FACEBOOK,LINE หนังสือพิมพ์,หนังสือนี้ไง เยอะมากไปหมดท่านอ่านแล้วเจอเรื่องไหนดีท่านก็เก็บไว้แล้วนำมาฝึกเล่าในเวทีที่เหมาะสม จากนั้นลองแต่งเรื่องลักษณะนี้ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตรับรองครับ เล่าที่ไหนก็จูงใจคนได้ ไม่ร้อยก็ร้อยครับ

บริษัทการค้าปลีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยอยากเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง ห้าง HARRODS สัญลักษณ์ของลอนดอนประเทศอังกฤษ โดยผู้บริหารกล่าวในที่ประชุมว่า HARRODS ห้างดังในลอนดอน ใครไปลอนดอนแต่ไม่เดิน HARRODS ถือว่ามาไม่ถึงลอนดอน ถึงขั้นที่ว่าซื้อของใน HARROD ต้องขอถุงหลายใบเพื่อที่จะนำมาใส่ของฝาก(ซื้อของจากร้านเจ้เล้งแล้วใส่ลงถุง HARRODS) เราจะทำให้ห้างของเราเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร ใครมาเที่ยวกรุงเทพไม่มาเดินห้างเราถือว่ามาไม่ถึงกรุงเทพ หลังจากประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนต่อบอร์ดบริหารแล้วในวันนั้น เวลาล่วงเลยไปสองเดือน เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของวิศัยทัศน์ดังกล่าว อาจารย์อภิวุฒิ ลองไปสอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างดัง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างดังกล่าวเล่าให้อาจารย์อภิวุฒิฟังว่า ห้างจะเลิกกิจการแล้วครับอาจารย์ เห็นว่าจะเปลี่ยนไปขาย แครอท(carrot) แล้วครับอาจารย์ พวกผมตกงานแน่ๆเลยครับ ตอนฟังนี้ผมอดอมยิ้มไม่ได้เลยครับ เสมือนว่าผู้บริหารที่ต้องมีสายตาดังเหยียว มองภาพรวมกลับมองไม่เห็นแม้กระทั้ง ภาพพนักงานที่คิดว่า ห้างกำลังจะไปขายแครอทซะงั้น

บทเรียนผู้นำ การสือสารมีความสำคัญมาก หากท่านแค่พูดว่า "บอกแล้ว" จงเข้าใจใหม่ว่า "บอกแล้ว" ไม่ใช้การสื่อสารแล้วครับ การสื่อสารต้องบอกแล้วต้องเข้าใจด้วยหากไม่เข้าใจจะเรียกว่าการสื่อสารได้เช่นไรละครับ (อมยิ้มในใจ)

มองคนเป็นลิ้นชัก

อาจารย์ครับ "ไอ้นี้มันแย่มากเลยครับ ไม่ได้เรื่องเลยครับ" เสียงจากผู้บริหารท่านหนึ่ง "ไม่ดียังไงครับ" อาจารย์ถามกลับ "ไม่รู้สิแต่ผมรู้นะว่ามันแย่มาก" ผู้บริหารตอบกลับ บางครั้งแวนที่เราใส่ในการมองอาจจะไม่เหมือนกัน บางครั้งเราอาจจะไม่ได้มองไปที่ข้อเท็จจริง หากแต่มองที่ความรู้สึกที่มีต่อบุคคลบางคนเท่านั้น บางคนก็ดีมากในสายตาเราทั้งที่ไม่เคยทำผลงานอะไรได้เลย จากการฟังอาจารย์อภิวุฒิ ผมพอสรุปข้อคิดได้ว่า คนทุกคนมีข้อเสียครับ แต่ทุกคนก็มีข้อดีเช่นกัน ทำไมเราไม่เลือกที่จะมองข้อดีของคนคนนั้นละครับ เสมือนว่าเราเปิดลิ้นชักตู้เราไม่จำเป็นต้องเปิดทุกลิ้นชักซักหน่อยครับ เราแค่เปิดลิ้นชักที่เราอยากเปิดเพื่อเอาของแค่นั้นเอง อย่าคิดว่าคนต้องเป็นตู้เสื้อผ้าเปิดที่เดียวเห็นหมด แต่ให้มองว่าเป็นลิ้นชัก ไม่ต้องมองทั้งหมดมองแค่สิ่งที่มีประโยชน์ก็พอแล้วครับ

บทเรียนผู้นำ ทุกคนมีข้อเสียแต่ก็ทุกคนเช่นกันที่มีข้อดี ในฐานะผู้นำท่านจะเลือกมองข้อเสียของคนและใช้ข้อเสียนั้นหรือจะมองหาข้อดีแล้วส่งเสริมให้ดีขึ้นจนเบียดทับข้อเสียให้หมดไปละครับ ท่านผู้นำทั้งหลาย

เมื่อไม่พร้อมให้เริ่มเลย

1983 ปีมหัศจรรย์ มีการแข่งขันวิ่ง ULTRAMARATHON ในประเทศ AUSTRALIA ผู้เข้าแข่งขันต้องวิ่งจาก SYDNEY ไปยัง MELBOURNE ระยะทางทั้งสิ้น 875 KILOMETRES  ชายเลี้ยงวัววัย 61 ปี นาม CLIFF YOUNG เห็นประกาศรับสมัครเลยลงสมัครวิ่งด้วย เพราะคิดว่าเป็นวิ่ง MARATHON ธรรมดาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แก(CLIFF YOUNG) เข้ารวมด้วยรองเท้าบูทที่ใส่ในฟาร์มที่แกเลี้ยงวัว พอเริ่มการแข่งขันแกก็เริ่มวิ่งไปเรื่อยๆ รั้งท้ายเป็นคนสุดท้ายมีรถพยาบาลขับตามท้ายไปด้วย(กลัวแกจะหัวใจวายตาย) ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องแกก็วิ่งไปเรื่อยไม่ยอมหยุดพักเพราะคิดว่าการแข่งขันนี้ไม่มีเวลาให้พักได้ เมื่อตกกลางคืนผู้เข้าแข่งขันรายอื่นก็หยุดพักนอน แต่แกกลับวิ่งต่อไปเรื่อยๆ มีบางเวลาที่แกแอบไปนอนเพราะกลัวคณะกรรมการเห็นจะถูกตัดสิทธิจากการวิ่ง ทั้งที่จริงผู้เข้าแข่งขันสามารถหยุดพักได้ ผลปรากฏว่าพอแกวิ่งไปถึงวันที่ 5 เหมือนแกจะวิ่งเลยเส้นชัยเพราะนึกว่าต้องวิ่งต่อไปอีก คณะกรรมการต้องหยุดแกเอาไว้ เรื่องมีอยู่ว่าที่แกสมัครเข้าแข่งขันเพราะกะว่าจะวิ่งเล่นๆ ลองดู แกไม่ได้เตรียมตัวอะไร ไม่รู้เส้นทาง ไม่รู้กติกา ไม่รู้อะไรซักอย่างรู้อย่างเดียวว่าอยากเข้าร่วมการแข่งขัน เมื่อแกเข้าเส้นชัยเวลาก็ผ่านไปสองวันผู้เข้าแข่งขันคนที่สองก็เข้าเส้นชัยต่อจากแก นั้นหมายความว่าสถิติของรายการนี้อยู่ที่การวิ่งประมาณ 7 วัน แต่แกกลับใช้เวลาแค่ 5 วันเท่านั้นก็เข้าเส้นชัย เมื่อได้เป็นที่หนึ่งของการแข่งขันย้อมได้รับรางวัลซึ้งแก่ก็ไม่รู้อีกว่ามีเงินรางวัลให้ด้วย แกก็ไม่รู้จะทำยังไงเงินรางวัลตั้ง 10,000 เหรียญ แกเลยแบ่งเงินรางวัลให้กับคนที่เข้าได้ที่ 2 ถึงที่ 10 คนละ 1,000 เหรียญ ชนะเพราะความไม่รู็นี้เอง

คำถามคือถ้าแกรู้กติกา รู้เส้นทาง รู้ว่าพักได้ CLIFF YOUNG จะยังชนะอยู่หรือไม่ ถ้าแกเตรียมตัวมาให้พร้อมกับการแข่งขัน ไม่มีใครรู้คำตอบครับ แต่ที่แน่ๆคือแกชนะเพราะความไม่พร้อมนี้เอง

เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือเมื่อยี่สิบปีที่แล้วเวลาที่ดีลองลงมาคือตอนนี้ หมายความว่าผู้นำที่มีภาวะผู้นำสูงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพร้อมหรือไม่ รู้แค่ว่าต้องเริ่มตอนนี้ก็พอ อยากพัฒนาตนเองเริ่มหยิบหนังสือมาอ่านได้เลยครับไม่ต้องรอให้พร้อม อยากลดน้ำหนัก(ใจจริงไม่อยากเขียนเรื่องการลดน้ำหนักเลย)ก็หยิบรองเท้าออกไปวิ่งตอนนี้เลยครับ อยากสุขภาพดีก็หยุดทานอาหารมันๆของทอดทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตอนนี้เลยครับ ททท ทำทันที

บนเรียนผู้นำ จะทำอะไรซักอย่างเพื่อการพัฒนาให้เริ่มตอนนี้เลยครับ อย่ารอผลัดวันประกันพรุ่ง พรุ่งอาจไม่มาถึงก็ได้ครับ 

บทเรียนอื่นๆที่ได้กับตัวผม

คนไทยขาดภาวะผู้นำ อันนี้สังเกตุจากการเข้าชม TALK SHOW เพราะเวลาเริ่มคือ 19.00 น. อาจารย์อภิวุฒิเริ่มแสดงแล้วยังมีพวกที่เพิ่งเข้ามาก่อความรำคาญทางสายตาเป็นอย่างยิ่ง แต่คาดว่าเมื่อชมเสร็จน่าจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างออกไปบ้างไม่มาก็น้อยถือว่าโชคดีแล้วครับที่ได้มาฟัง

ความละเอียดรอบคอบ มีภาษาอังกฤษเขียนอยู่บนเวทีหลายคำ เท่าที่จำได้มีคำว่า

INFLUENCING OTHERS ประมาณว่าเป็นนิยามของภาวะผู้นำคือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่น

THINK DIFFERENTLY คิดให้แตกต่างมีแต่ผู้นำที่มีภาวะผู้นำเท่านั้นที่มีความคิดในมุมมองที่แตกต่างออกไปเมื่อคนทั่วไปไม่สามารถหาคำตอบได้

THINK CRITICALLY คิดฉกรรจ์ แปลจาก GOOGLE แต่ความหมายน่าจะหมายถึงความคิดไม่มีวันชราเพราะยิ่งคิดยิ่งเด็กหากใช้ความคิดได้อย่างเป็นระบบ นั้นหมายถึงการฝึกฝนมีแต่คนที่นอนอยู่ในโรงเท่นั้นที่หยุดคิดครับ (มนุษย์คิดวันละประมาณ 60,000 เรื่องต่อวัน)

BE PRODUCTIVE เริ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำที่ดีย่อมทรงประสิทธิภาพในการใช้ชีวิต

LOOK AT THE BIG PICTURE มองให้เห็นภาพรวมก่อนถ้าเราเริ่มที่การมองแค่ภาพแคบๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่งเราจะมองไม่เห็ความสัมพันธ์ของเรื่องราวที่ผู้นำจะต้องประสานเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ผู้นำชนะคนเดียวแต่ทีมแพ้ ไม่เรียกว่ามีภาวะผู้นำครับ ผูนำต้องสร้างคนที่อยู่รอบข้างให้ดีขึ้น เด็ดขึ้น หน้าที่ผู้นำคือสร้างผู้นำครับ

STAY POSITIVE เพราะการคิดบวกคือโรคติดต่อ ผู้นำที่คิดบวกย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อยบ่างมหาศาลหาที่ใดเปรียบได้

STORYTELLING ผู้นำต้องจูงใจผู้คนด้วยเรื่องเล่าที่ทรงประสิทธิภาพ ระทม รันทด ระทึก รอดจากทุกข์ เพราะเรื่องเล่าที่ทรงประสิทธิภาพจะประทับอยู่ในใจของผู้ฟังนั้นเอง

A GREAT LEADER คำนี้งง เพราะถ้าใช้คำว่า LEADERSHIP ย่อหมายถึงภาวะผู้นำ LEADER คือผู้นำ แต่พอรวมกับ A GREAT LEADER น่าจะหมายความว่าใครได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คือผู้นำที่ยิ่งใหญ่นั้นเองใครอ่านไม่ถึงก็ LEADER ครับ (แอบยิ้มในใจ) 

สิ่งที่จะนำไปใช้

ทุกอย่างครับไม่ต้องห่วง ส่วนถามว่าจะนำไปใช้อย่างไร เชื่อผมสิครับท่านผู้นำทั้งหลายท่านได้ใช้แน่นอน ไม่วันนี้ตอนนี้ ก็พรุ่งนี้ หรือวันที่ต้องการใช้ มันจะผุดขึ้นมาเองเหมือนตาน้ำ เมื่อผุดขึ้นมาแล้วจะกลายเป็นต้นน้ำของแม่น้ำใหญ่ และผุดขึ้นมาอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย เสมือนผุดขึ้นมาไม่มีวันหมด

หมายเหตุ

ที่เขียนทั้งหมดนี้เพราะต้องการทบทวนการเรียนรู้ที่โชคดีมีโอกาสเข้าไปนั่งอยู่ในที่ที่ดีมากๆ และแค่อยากแบ่งปันภาวะผู้นำกับท่านผู้อ่านเท่านั้น ไม่ได้มีความประสงค์อื่นใด หรือแสวงหากำไรใดๆทั้งสิ้น หากเรื่องที่เขียนไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าขอน้อมรับทุกความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ แก่ปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้า สุดท้ายนี้ ผมหลงรักอาจารย์ อภิวุฒิ เข้าแล้วครับ


สิทธินันท์ มลิทอง รายงานไม่สดจาก LEADERCHIEF ON STAGE